วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 3/7 (2)




พระอาจารย์

3/7 (531217)

17 ธันวาคม 2553

(ช่วง 2)



(ต่อจากแทร็ก 3/7 ช่วง 1


โยม –  ที่เราเกิดมานี่หลงมา

พระอาจารย์ –  หลง ...เพราะโง่ไปหมายมั่นในอาการว่าเป็นจริงเป็นจัง เพราะหมายมั่นว่าความสุขนี้ยังเป็นจริงเป็นจัง เพราะเข้าใจว่ายังมาหาความสุข...โดยอาศัยรูปกายอันนี้มาทำให้เกิดความสุขได้ อาศัยปากอันนี้พูดคุยทำให้เกิดความสุขได้  อาศัยการกระทำทางกาย คำพูด วาจานี่ ทำให้เกิดความสุขได้

มันเข้าใจเอาว่าอย่างนี้  มันเลยมาหมายเอารูป มาสร้างรูป เพื่อจะหาความสุขในรูป...ที่จะไปกระทำตามอายตนะต่างๆ  ...ทั้งๆ ที่ว่าทำแล้วมันก็ดับไป ทำแล้วมันก็ดับ หมดไปแล้วก็รักษาไม่ได้ ... มันไม่เข้าใจตรงจุดนี้

มันก็เข้าใจว่า หมดไปก็หาใหม่อีกๆ หมดไปก็หาใหม่อีกได้  มันไม่รู้ว่าไอ้การหาแต่ละครั้งมันทุกข์ขนาดไหน  ...แล้วเมื่อได้มาก็เสวยความสุขนิดหนึ่งแล้วก็หายไป แล้วก็ต้องหาใหม่อีก...มันไม่เข็ดหลาบ 

มันไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ ...มันยังเข้าใจว่าการมีชีวิตนี่มีความสุข  ยังหาความสุขจากรูปขันธ์ นามขันธ์ได้ ...มันก็หลงเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น

แต่ถ้ากลับมาอยู่ที่ใจ...รู้เห็นๆๆ  แล้วจะเห็นว่าทุกอย่างทั้งปวงที่อยู่หน้าใจรู้ดวงนี้ ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น  มันสมมุติเอาว่า คาดเอา คะเนเอา ...เป็นอะไรลมๆ แล้งๆ เลื่อนๆ ลอยๆ  ไม่คงอยู่ ไม่เสถียร ไม่ถาวร  

เนี่ย มันจะเห็นเลยว่า มาบ้าอะไรกันนักกันหนาใจดวงนี้  แล้วมันจะบอกว่า แล้วมันจะบ้าอะไรกับอากาศธาตุ สิ่งที่ว่างเปล่า ... เพราะอะไรถึงว่าอย่างนั้น  ...เพราะได้มาก็หายๆ  

เอาง่ายๆ ตายแล้วมีอะไรกลับไป  ลูกก็อยู่นี่ เมียก็อยู่นี่ ผัวก็อยู่นี่ หลานก็อยู่นี่ สมบัติก็อยู่นี่ การงานทรัพย์สิน ...เอาไปไม่ได้เลย เห็นมั้ย


โยม –  แล้วคนที่ตายก็ไม่ได้มาบอกเราว่าไปไหน

พระอาจารย์ –  เรื่องของคนอื่นไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งที่อยู่ในความคิด ...ความคิดก็คือความคิด พอเราไม่สนใจให้ค่าให้ความสำคัญกับความคิด  แล้วเรามาให้ความสำคัญกับที่รู้ เดี๋ยวความคิดมันก็เลือนรางหายไปเองน่ะ ไม่มีตัวไม่มีตน  

โยม –  ถ้าความคิดมันเกิดแล้วก็คอยดับ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้ดับ กลับมารู้ ...แค่รู้อยู่ตรงนั้นน่ะ   

โยม –  อ๋อ ไม่ต้องดับมัน รู้ลูกเดียว

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องดับ ... อย่างเช่น มีไฟอยู่กองนึง เรานั่งดูอยู่เฉยๆ นี่ ถามว่าไฟมันดับมั้ย   

โยม –  เราไม่ต้องไปเป่าให้มันดับ มันดับเอง

พระอาจารย์ –  เออ ...และที่สำคัญอย่างนึง อย่าไปเติมฟืน   

โยม –  คือเพิ่มกิเลสเข้าไป

พระอาจารย์ –  ด้วยความที่ว่า 'เดี๋ยวต้องทำให้มันดับ'  

โยม –  อ๋อ 

พระอาจารย์ –  เนี่ย เติมฟืนแล้ว ไปยุ่งกับมันแล้ว   

โยม –  คือไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย

พระอาจารย์ –  รู้อย่างเดียว หน้าที่เราคือนั่งผิงไฟลูกเดียว  เป็นคนที่นั่งผิงไฟอยู่เฉยๆ  ไม่ใช่คนที่คอยแหย่ฟืน...มือบอน  เคยเห็นคนมือบอนมั้ย นั่งอยู่หน้ากองไฟ กลัวไฟมันจะดับ ก็คอยแหย่ฟืนใส่   


โยม –  ท่านอาจารย์ ถ้าเราปฏิบัติไม่ดีก็ลงนรกใช่มั้ย 

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องคิดถึงมาก อย่าคิด ... นี่แค่คิดนี่หลงออกมาแล้ว หลงออกมาคิด ...ไม่ต้องคิดมาก 

พอรู้ว่าคิด ต่อไป 'ช่างหัวมัน' ...ไม่หาความจริงในความคิดหรอก ไม่มีสาระๆ บอกให้เลย  ความคิดไม่มีสาระ  คิดตามมันก็ไม่มีสาระ ไปหาความจริงในความคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเรียกว่าความสงสัย


โยม –  อย่างนี้เราก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ

พระอาจารย์ –   ไม่ต้องอ่าน ...อ่านใจๆ ดูมันที่ใจ ดูแล้วก็กลับมาอยู่ที่ใจ ...สั้นมั้ย ง่ายมั้ย อยู่ตรงนี้ นี่วัด...เข้าวัด  รู้จักคำว่าการเข้าวัดมั้ย ไม่ได้เข้าวัดแบบไปไหว้หาพระนะ  แต่นี่คือเข้าวัดใจ  

โยม – เข้าวัดประจำวัน วัดใจ

พระอาจารย์ – เออ วัดใจทุกขณะจิต มีอะไรเกิดขึ้น กลับมาวัดใจ  เนี่ย เข้าวัด ให้มาวัดอยู่ที่ใจ  อะไรเกิดขึ้นก็ให้กลับมารู้ๆ ให้รู้บ่อยๆ อย่าให้หลงหายไป  ไอ้ตัวรู้น่ะ รู้อย่างเดียว     


โยม –  เวลาสวดมนต์เราก็รู้ว่าเราสวดมนต์

พระอาจารย์ –  อือ ให้เห็นปากกำลังขยับ เสียงกำลังออกมา กำลังนั่ง กำลังเมื่อย  ให้เห็นอาการแล้วก็รู้ว่ากำลังเป็นยังไง รู้กับอะไรอยู่  ให้รู้กายบ่อยๆ   

โยม –  ให้รู้กายรู้ใจ รู้ความคิด รู้ทุกอย่าง

พระอาจารย์ –  รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแหละ ...ไม่ต้องคิด ไม่ต้องไปคิด ให้รู้เฉยๆ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ 

โยม –  ปัจจุบันอย่างเดียว

พระอาจารย์ –  รู้อย่างเดียว ...แต่ไม่ต้องไปห้ามมันนะ  ห้ามก็ไม่ห้าม รู้อย่างเดียว  ไม่ใช่ไปบล็อคว่าห้ามอย่างนั้น ห้ามคิดนะ ห้ามคิดถึงอดีต ห้ามคิดถึงอนาคตนะ ... ห้ามไม่ได้ อยากคิดก็คิดไปดิ...แต่ว่ารู้   

โยม –   ห้ามวิจารณ์ด้วย

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องวิจารณ์ ...มันก็จะพูดน้อยลงเอง  แต่ไม่ได้ห้ามนะ เพราะต่อไปถ้ามันอยู่ที่ใจ รู้ที่ใจแล้วนี่ มันไม่ค่อยมีคำพูดอะไรมากหรอก ไม่รู้จะพูดอะไร  มันจะรู้อย่างเดียว มันจะกลับมารู้อยู่ที่ใจอย่างเดียว

มันจะกลับมาสงบระงับอยู่ภายใน...ที่ในใจนะ ไม่ใช่สงบระงับอยู่ในความสงบนะ  สงบระงับตั้งมั่นอยู่ที่ใจ เพราะมันจะรู้ไปเรื่อยๆ ว่าออกนอกใจเมื่อไหร่...ปวดหัว มีแต่เรื่อง มีแต่ทุกข์

ทำอะไรก็รู้ให้สบายที่สุด  อย่าไปรู้ซับซ้อน  รู้ตรงๆ...นั่ง แขนกำลังขยับไหว เห็นมั้ย กำลังไหว...รู้ รู้อย่างเดียว...ให้ทัน  ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่ มันหลง หาย  ...รู้หายเมื่อไหร่แปลว่าหลง...คือไม่รู้   


โยม – สงสัยจะเอาตรงนี้ดีกว่าที่ปัจจุบันนี่ รู้ว่าว่างดีกว่า เพราะว่ามันสบายดี

พระอาจารย์ –  แล้วแต่ รู้ไป รู้อยู่ที่ว่างก็ได้  ...แต่ให้เห็นเป็นสองอย่างนะ     

โยม –  รู้ว่าว่างเนอะ

พระอาจารย์ –  ต้องให้มี...ว่างอันนึง...รู้อันนึง  อย่ามีแต่ว่างอย่างเดียว อย่าไปมีแต่ไม่มีอะไรอย่างเดียวนะ  หลงนะ มันหลงเข้าไปนะ  แล้วก็เวลาเราทำงาน เวลาเดินเหินไปไหนมาไหน ให้เห็นอาการของกายที่เคลื่อนไหว ให้รู้


โยม –  เวลาทักทายกับใครก็ช่าง ไม่ต้องไปคิดว่าเขาจะคิดยังไง ก็ช่างเขา

พระอาจารย์ –  อือ ให้รู้ให้เห็นไว้ ... ใครจะเกิด ใครจะตาย ใครจะแก่ ใครจะเจ็บ เรื่องของเขา   

โยม –  เราไม่เกี่ยว

พระอาจารย์ –  ไม่เกี่ยว อยู่ที่ใจ ใจเราดวงเดียว รักษาให้อยู่   


โยม –  อาจารย์ว่าโยมนี่ผิดรึเปล่า ทำผิดรึเปล่า     

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องคิดมาก ... ไม่ผิด...แล้วก็ไม่ถูก เข้าใจมั้ย  อย่าไปบอกว่ามันผิด หรืออย่าไปบอกว่ามันถูก ...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ เพื่อการเรียนรู้ 

โยม –  ไม่ดีไม่ชั่ว  

พระอาจารย์ – ไม่มี เราไม่ต้องไปว่า  ไม่ต้องไปว่า ...เพราะเขาก็ไม่ได้ว่า  


โยม –  เออ บาปก็เหมือนเกลือใช่ไหมเจ้าคะ บุญเหมือนน้ำรึเปล่า ใส่เข้าไปเยอะๆ แล้วมันจะจืดจางเอง  

พระอาจารย์ –  ในความหมายของบุญและบาปนะ  จริงๆ น่ะ มันเป็นการให้ค่า  เพราะฉะนั้นน่ะ มันเป็นความหมายมั่น  บุญก็คือความหมายมั่นหนึ่ง นะ บาปก็คือความหมายมั่นหนึ่ง ... เพราะฉะนั้น บทที่เราจะถอนออกจากบุญและบาปนี่  

โยม –   ถ้าเราจะถอนก็ถอนตรงนี้ได้ ตรงที่ว่าไม่ต้องคิด แล้วเรารู้ว่าคิด...  

พระอาจารย์ –  ใช่ กลับมาอยู่ที่รู้ ... แต่ไม่ใช่ว่าล้างนะ  พอกลับมารู้นี่ ไม่ถือว่าล้างนะ  ถือว่าลอยอยู่เหนือบุญและบาป ไม่เข้าไปอยู่ในบุญและบาป นะ ... มันลอยออกมา เห็นมั้ย  

มันคนละตัวกัน ใช่มั้ย ... มันกลายเป็นผู้รู้เฉยๆ  แล้วก็บุญและบาปก็เป็นสิ่งอยู่ข้างหน้า หน้าสิ่งที่รู้ หน้าใจ   


โยม –  เวลาเรากำลังใกล้จะตาย เราก็รู้   

พระอาจารย์ –  รู้อย่างเดียว พอแล้ว 

โยม –  รู้ว่ากำลังใกล้จะตาย 

พระอาจารย์ –  พอแล้ว จะตายอย่างมีความสุข   

โยม –  แล้วต้องดูพระพุทธรูปมั้ย   

พระอาจารย์ – ไม่ต้องดูอะไรทั้งนั้น ไม่เอา  ...เอาใจเป็นพระ อยู่ที่นี้  พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ใจ    

โยม –  พระพุทธรูปอยู่ในใจน้อ  

พระอาจารย์ –  คือใจ...ความหมายของพระพุทธเจ้าคือใจ เข้าใจมั้ย  การที่เป็นพระพุทธเจ้านี่ไม่ได้เป็นรูปทรงอย่างนี้นะ เราไม่ได้เคารพท่านในรูปทรงนี้นะ  ความหมายของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นรูปทรง เป็นคน เป็นชายเป็นหญิงนะ ...แต่ท่านเป็นใจพุทธะ ก็คือใจดวงนี้แหละ ...เพราะนั้นพระพุทธเจ้าก็อยู่ตรงนี้ 

พระธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่ ไม่ได้เป็นอรรถเป็นภาษาอะไรนะ  ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้เห็นใจดวงนี้แหละ เข้าใจมั้ย  พระสงฆ์ก็ไม่ใช่อย่างนี้ ที่มาโกนหัวห่มเหลืองห่มขาวห่มดำ ไม่ใช่ตรงตัวตนอย่างนี้นะ  ท่านเป็นก็อยู่ที่ใจของท่านนี่ ใจท่านบริสุทธิ์ ตรงนี้ ...เพราะนั้น พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ก็รวมลงที่ใจดวงนี้แหละ


โยม –   เออ อาจารย์ สังขารนี่มันแก่ 

พระอาจารย์ –  แก่นี่เราก็ว่าเองนะ   

โยม –  เราว่าเอง เรารู้ว่ามันแก่น่ะ     

พระอาจารย์ –  เออ ตัวเขาเองเขาว่าเขาแก่มั้ย  กายนี่ ก้อนนี้ มันบอกไหมว่ามันแก่  เข้าใจมั้ย  มันบอกมั้ยว่าเป็นหญิง  ไอ้เจ็บๆ เมื่อยๆ นี่มันบอกมั้ยว่ามันเป็นหญิงเป็นชาย  หรือว่ามันบอกมั้ยว่ามันดี หรือมันบอกว่ามันไม่ดี ...มันพูดมั้ย หรือมันให้ความหมายอะไรมั้ย   

โยม –  มันพูดไม่ได้  

พระอาจารย์ –  มันพูดไม่ได้เพราะมันไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ... มันเป็นแค่อาการหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น นะ 

ถ้ารู้ไปตรงๆ โดยที่ไม่ไปซีเรียสกับมันน่ะ จะเห็นความเป็นจริงของกาย ที่ไม่เป็นอะไรเลย ...เหมือนก้อนดิน ก้อนหิน ดาษดื่นนี่ ...ไม่ได้ต่างกันเลย  

แข็งๆ ...รู้ว่าแข็งๆ นี่  กำลังนั่งๆ นี่  เห็นมั้ย เห็นอาการน้ำหนักทิ้งตัวลงมามั้ยนี่  ไอ้อย่างนี้หรือเป็นตัวเรา ...มันบอกไหมว่ามันเป็นตัวเราน่ะ

รู้อย่างเดียว แล้วทำอะไรก็ทำ ไม่ทำก็ไม่ทำ...ก็รู้  ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ นี่  รู้อย่างเดียว แล้วมันจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ถ้าอยู่ที่รู้บ่อยๆ นี่ แล้วจะเห็นเลยว่า เราจะมีอิสระมากขึ้น เราจะมีชีวิตที่เรียบง่าย ปกติมากขึ้น  เราจะมีชีวิตที่อะไรเกิดขึ้นก็ได้ อะไรไม่เกิดก็ได้  ทุกข์ก็ได้ สุขก็ได้ ...มันก็แค่นั้นแหละ

สุดท้าย มันเห็นอะไร...มันก็แค่นั้นแหละ อะไรๆ ก็แค่นั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรเลย ...สุดท้ายมันก็เหมือนกันหมดน่ะ คือดับไป เดี๋ยวก็เปลี่ยนไป ... อย่าไปจมปลักอยู่กับมัน เอาเป็นเอาตายกับมัน อย่าไปจริงจัง  

ขอให้เห็น-รู้อย่างเดียวนะ  อย่าเอาแต่ว่างอย่างเดียวนะ ต้องรู้อย่างเดียวนะ ...ส่วนรู้นี่จะไปจับคู่กับอะไรก็ได้ จะว่างก็ได้ จะไม่ว่างก็ได้  ...จะไม่เลือกนะ จะไม่เลือกเอาแต่เฉพาะว่างอย่างเดียวนะ 


โยม –  เอ้า ว่างอย่างเดียวก็ไม่ได้ แล้วเราทำยังไงล่ะ  

พระอาจารย์ –  ก็อะไรเกิดขึ้นก็ได้นี่ ...ไม่ใช่ว่าเจ็บ พอรู้ว่าเจ็บปั๊บก็จะมารู้ที่ว่างแทน เข้าใจมั้ย   

โยม –  อ๋อ ถ้าเราเจ็บก็ต้องรู้ว่าเจ็บ     

พระอาจารย์ –  อือ อย่าไปหนีว่ามารู้ที่ว่างดีกว่า   

โยม –   อ๋อ หนีไม่ได้  

พระอาจารย์ –  อือ (หัวเราะ)  ไม่งั้นเราก็เลือกสิ  ...ทำไมถึงเลือกล่ะ เพราะพอใจ ...ทำไมถึงพอใจว่างล่ะ  เพราะชอบ เพราะมีตัณหา ...มันมองไม่เห็นตัณหานะ มันอยากว่างอย่างเดียวน่ะ

โยม –  (หัวเราะ) อยากว่างอย่างเดียว  

พระอาจารย์ –  มันไม่อยากเจ็บน่ะ เพราะเจ็บแล้วมันทุกข์ ... เพราะนั้นถึงบอกว่าถ้ารู้นี่จับคู่กับอะไรก็ได้...โดยไม่เลือกและไม่มีเงื่อนไข 

ทุกอย่างที่ปรากฏ  ไม่ว่าจะเลว จะต่อหน้าเราจะเป็นนางงามจักรวาลหรือจะเป็นอสุรกาย เปรต สัตว์นรก ที่เราว่าเลวร้ายแล้วเราไม่ชอบที่สุด หรือว่าจะเป็นนางงามสวยสดงดงามที่สุด เราก็เลือกไม่ได้ ...เราก็ไม่ต้องคิดว่าจะเอาแต่นางงามๆ  เพราะเกิดมาในโลกนี้ โยมยังมองเห็นอะไร มันมีอะไรแตกต่างใช่มั้ย 

โยม –  ค่ะ   

พระอาจารย์ –    โยมเลือกได้มั้ยว่าจะให้มันเป็นอย่างเดียวกันหมด ...แค่มองเห็นนี่ สิ่งของรอบตัวนี่ เห็นมั้ย มันเป็นยังไงมันก็ต้องเป็นยังงั้น ...ได้มั้ย 

มาในตรงนี้โยมก็ต้องเห็นแต่ป่า เดี๋ยวพอขับรถไปเรื่อยๆ โยมก็เห็นแต่ตึก  โยมจะเลือกให้มีแต่ป่าอย่างเดียว หรือจะเลือกให้มีแต่ตึกอย่างเดียวในโลกนี้ได้มั้ย  หรือจะให้เป็นทุ่งโล่งทุ่งนาตลอด หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ ได้มั้ย ...จะเลือกได้ไหม

โยม –  เลือกไม่ได้    

พระอาจารย์ –  เลือกไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลือกสิ ทุกอย่างตามความเป็นจริง 

โยม –  โอ้ ใช่  

พระอาจารย์ –  นี่แหละ เขาเรียกว่าถ้ามีปัญญาจริง อยู่ที่รู้จริงนี่  จะยอมรับได้ทุกสภาพ สามารถอยู่ได้กับทุกสภาพด้วยความเป็นกลาง  เป็นกลางคืออะไร  ...คือไม่เลือก ไม่แบ่ง ไม่แบ่งว่าอันนี้ดีกว่าอันนี้

แต่ถ้าเราบอกว่าจะเอาว่าง มันจะแบ่งทันทีว่า...ว่างดีกว่าไม่ว่าง ว่างดีกว่าทุกข์ ว่างดีกว่าฟุ้งซ่านวุ่นวาย ...เห็นมั้ย เราเลือกแล้ว

โยม –  เราเลือกไม่ได้ เราต้องรับกรรม   

พระอาจารย์ –  รับทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ...ปัญญาคือเห็นตามความเป็นจริง แล้วยอมรับ  

โยม –  ถ้าเรายอมรับว่าทำกรรมมา

พระอาจารย์ –  ก็ต้องยอมรับมัน...มีกายก็ต้องเจ็บ...เป็นธรรมดา  ไม่ได้ผิดเลยนะ  อย่าไปบอกว่ามันผิด อย่าไปบอกว่ามันถูก อย่าไปบอกว่าอันนี้ดีกว่าอันนั้น อันนั้นดีกว่าอันนี้ ... นี่เขาเรียกว่าตัววิพากษ์วิจารณ์ 

เห็นมั้ย มันมีอีกตัวนึงคอยพากษ์  ไอ้ใจที่คอยพากษ์นี่ เป็นจิตอีกดวงนึงนะที่ออกมาจากใจรู้นะ ... ก็ต้องรู้ให้ทัน ไม่งั้นมันจะแตกแขนงออกเป็นรากย่อยรากแขนง...เยอะแยะ 

ไอ้ที่แตกแขนงออกมาเป็นว่างหรือเป็นไม่ว่าง นี่เป็นชิ้นเป็นอันใหญ่ๆ พอเห็นชัด ...แต่พอเป็นรากแขนงนี่ เริ่มไม่ชัดเจนแล้ว  แล้วมันเริ่มแซะมาเรื่อยๆ  เดี๋ยวจะไปงอกออกตรงนั้น เดี๋ยวจะไปปูดตรงนั้น ผุดออกมาตรงนี้ ...ไอ้รากแขนงนี่แหละ 

การภาวนาต่อไปมันจะต้องละเอียดลออถึงขนาดนั้นน่ะแหละ ... จนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เรียกว่า ตัดบัวโดยไม่เหลือใย 

นี่ของพวกเรามันมีใย...แต่ยังมองไม่เห็นใย นะ มันยังไม่ใช่ว่าหักขาดดังเป๊าะ มันยังมีเยื่อใย ยังทิ้งเยื่อใยอยู่  ยังมีความอาลัยอาวรณ์ ยังมีความเสียดายอาการ ยังมีความที่ว่าแอบให้ค่ากับอาการ...อันนั้นดีกว่าอันนี้ เรื่องของเราดีกว่าคนนั้น อันนี้ยังเป็นเรื่องของเราอยู่ อันนี้ยังไม่ใช่เรื่องของเรา ...นี่แอบให้ค่า

ต่อไปจะต้องเท่าทันมากขึ้น ละเอียดมากขึ้นๆ เมื่อรู้อย่างเดียวบ่อยๆ ... ยอมสละความเสียดายออกไป ที่ว่าจะต้องให้เป็นอย่างนี้เท่านั้น จะต้องให้มีสภาวะนี้อย่างเดียวเท่านั้น สภาวะอื่นไม่เอา ...อย่างนี้ ไม่ได้นะ

ไม่เลือกอ่ะ ...มันหน้าด้านเกิด เราก็หน้าด้านรู้  มันด้านอยู่เราก็ด้านรู้น่ะ ...ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างมี ต่างอันต่างเป็น  อะไรๆ เกิดขึ้นก็รู้ นะ ...สุดท้ายมันก็จะผ่านไป

แล้วใจเราก็จะมั่นคงมากขึ้น ยอมรับ ทนทานต่อทุกสภาวะ รับได้ต่อทุกสภาวะ โดยไม่เข้าไปผลัก ไม่เข้าไปแบ่ง ไม่เข้าไปเลือก ไม่เข้าไปจับ ไม่เข้าไปรักษา ไม่เข้าไปหวงแหน และไม่เข้าไปแสวงหา เห็นมั้ย รู้ตรงนั้นจึงจะบริสุทธิ์มากขึ้นๆ 

ถ้ารู้แล้วยังหา รู้แล้วยังทำ รู้แล้วยังเสียดาย รู้แล้วยังไม่อยากให้มันหาย รู้แล้วอยากให้มันอยู่อย่างนั้น มันไม่บริสุทธิ์นะ มันยังมีแอบแฝงอยู่ ใช่มั้ย

จนกว่าจะรู้เฉยๆ จริงๆ  เหลือแต่ตัวมันเปล่าๆ  นั่นแหละ จึงจะเรียกว่าเข้าไปสู่ความเป็นวิมุติ ใจที่เป็นวิมุติ ไม่เหลืออะไรภายในที่แอบ ที่ยังแอบออกมาหลงรักหลงชังอยู่ เลือกนั่นเลือกนี่อยู่ ไอ้นี่รับได้ ไอ้นี่รับไม่ได้

มันต้องเป็นแบบว่าแผ่นหนาตราช้าง เข้าใจมั้ย  เหมือนแผ่นดินน่ะ คือ ยังไง...อะไร...ได้หมด นั่นแหละ แล้วมันก็เท่าเดิมหมดแหละ อยู่ที่ใจตั้งมั่นอยู่ดวงเดียว ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้ส่ายแส่


โยม – บางทีเราไปคิดถึงคนอื่นก็มี เราก็อยากไปเถียงแทน   

พระอาจารย์ –  สัตว์โลก...เป็นไปตามกรรม  เพราะนั้น กัมมุนา วัตตติโลโก...สัตว์โลกมันเป็นไปตามกรรม  ... เราไปแก้กรรมให้เขาไม่ได้ เราไปแก้ความเห็นเขาไม่ได้ เราไปให้ปัญญาเขา บอกว่าอันนี้ดีนะ อันนี้ถูกนะ ให้เชื่อเรานะ ...มันแก้ไม่ได้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


สติมีแล้ว ฝึกมาดีแล้ว แต่ยังไม่แยบคายด้วยปัญญา นะ  เพราะนั้นการที่ให้ฟัง แล้วให้แยบคายด้วย  

ปัญญาคือให้เห็นเป็นสองอาการ  แล้วอย่าไปอยู่กับอาการที่ถูกรู้ ให้กลับมาอยู่อาการที่รู้ นั่นคือใจ คือกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่ใจ ... เมื่อกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่ใจ ตรงนั้นแหละจึงจะเรียกว่าศีลสมาธิปัญญารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

ศีลในความหมายของใจรู้นี่คือความปกติ คือปกติรู้ รู้เฉยๆ  ไม่ใช่ว่าไอ้นั่นดี ไอ้นั่นไม่ดี  นี่ไปผิดปกติกับศีล ...เพราะนั้นกลับมารู้ปกติ รู้เฉยๆ จึงจะเรียกว่าศีล นี่แหละคือศีลที่ใจ

โยมดูนี่ ... ถ้าสมมุติว่าเราหยิบแก้วนี่ แล้วเราบอกว่า "แก้วนี้ของเรา เรากินแก้วของเรา...แก้วเรา" ... ถามว่าผิดศีลไหม

โยม –  ไม่ผิด มันเป็นของเราอ่ะ  

พระอาจารย์ –  นั่น เห็นมั้ย  ถ้าโยมบอกว่าไม่ผิดศีล เพราะรู้สึกว่ามันเป็นของเรานี่ แก้วนี้เป็นของเรา  ถ้าคนทั่วไปก็บอกว่าไม่ผิดศีล ...แต่สำหรับเรานี่บอกว่าเราผิดศีลแล้ว

โยม –  ผิดอะไร  

พระอาจารย์ –  (หัวเราะ) ลักขโมย  

โยม –  ขโมยอะไรล่ะ  

พระอาจารย์ –  (หัวเราะ) ขโมยแก้วนี่ไง 

โยม –  ขโมยแก้ว ...ก็แก้วของเรา เราไปขโมยใครที่ไหน

พระอาจารย์ –  มันเคยบอกมั้ยว่าเป็นของเรา   

โยม –  อ๋อ ค่ะ อือๆๆ    

พระอาจารย์ –  เข้าใจมั้ย   

โยม –  เข้าใจค่ะ อือ ใช่ๆ   

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น แม้แต่ว่าในศีลบัญญัตินะ ศีลห้านี่เราไม่ผิดนะ คนทั่วไปก็ว่าไม่ผิด ...แต่ในศีลใจนี่มันผิดปกติ ที่ไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของเรา

โยม –  ไปยึดเขาว่าเป็นของเรา 

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย ขโมยนะ ผิดศีลนะ  

โยม –  ค่ะ ไปยึดเขา ...ที่จริงมันไม่มีของเราสักอย่าง   

พระอาจารย์ –  ถูกต้อง ... เพราะนั้นถ้ารักษาใจรู้อย่างเดียวนี่ จึงจะเรียกว่าศีลนั้นบริบูรณ์  

เพราะนั้นตลอดเวลาของคนทั่วไป แม้แต่ว่าคนที่ศีลเคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม  แต่เราก็บอกว่าผิดศีลตลอดเวลา ศีลไม่บริบูรณ์ ...ศีลในความหมายของพระพุทธเจ้าไม่บริบูรณ์

เพราะความหมายคือศีลนี่ยังมีความหมายมั่นจับจองเอาเป็นข้าวของของเรา แม้แต่ว่านั่งอยู่เฉยๆ นี่ไม่ได้ทำอะไร ก็สำคัญมั่นหมายว่ากายนี้เป็นของเรา ...นี่ขโมยนะ

เพราะอะไรจึงว่าขโมย ... เพราะกายนี่ไม่ได้เป็นของใครนะ  เขาไม่ได้เคยบอกเลยนะว่าเป็นของเรา เขาเป็นของกลางนะ ... ดินน้ำไฟลมนี่มันจะสร้างขึ้นมายังไงก็ได้ แล้วมันก็แตกดับไปตามธรรมชาติของมันเอง ใครเป็นเจ้าของบังคับเขาล่ะ 

แต่เรามาบอกว่า "ของเรา" ... นี่ ขโมยนะนี่ ผิดศีลนะนี่  ...คนทั่วไปเขาบอกไม่ผิดศีล แต่เราบอกว่าผิด ...ศีลพระอริยะท่านอยู่ตรงนี้ ท่านบริบูรณ์ที่ศีล ศีลท่านเปี่ยม บริบูรณ์ ไม่มีผิดพลาดเพี้ยนเลย คือรู้อย่างเดียว ตรงนี้จึงเรียกว่าศีลบริบูรณ์ แล้วไม่ต้องไปกังวลเลยว่าผิดศีลข้อไหน นะ 

ที่พูดนี่ไม่ได้พูดเพื่อให้ไปละเมิดศีลบัญญัตินะ แต่พูดให้เข้าใจว่าความหมายของศีลในใจจริงๆ คือความปกตินี่ ... เพราะนั้นเมื่อกลับมาอยู่ที่รู้นี่ จึงเปี่ยมด้วยศีล เปี่ยมด้วยสมาธิคือตั้งมั่นอยู่ที่ใจรู้ เปี่ยมด้วยปัญญาคือเห็นความเป็นจริงทุกอย่างที่รายล้อมรอบใจดวงนี้

ว่ามันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันควบคุมไม่อยู่  มันไปๆ มาๆ ตามเหตุและปัจจัย  สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ดับ...สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้มาเกิดร่วม ก็เกิดสิ่งนี้  สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้ไม่มาเกิดร่วม ก็ไม่เกิดสิ่งนี้...


(ต่อ แทร็ก 3/7 ช่วง 3)

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น