วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/26


พระอาจารย์
3/26 (540322B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มีนาคม 2554



พระอาจารย์ –  ไง พอจะเข้าใจมั้ย ...เข้าใจอุบายหรือเข้าใจหลัก เข้าใจมั้ยเรื่องของสติ เรื่องของสติที่ว่ารู้แค่นี้เองเหรอ ไม่ต้องไปสาธยายอะไรมาก ไม่ต้องอธิบายอรรถามาก

มันไปติดกันแค่ความรู้ ความแยกแยะด้วยสมมุติภาษา มันจะไม่เข้าถึงที่สุดของสมมุติและบัญญัติ อยากมั้ยล่ะ อยากไปถึงที่สุดแห่งบัญญัติและสมมุติมั้ยล่ะ

ตรงที่รู้ตัวน่ะ มันมีตรงไหน บัญญัติอยู่ตรงไหน สมมุติอยู่ตรงไหน ...รู้ตัวบ่อยๆ มันจะถึงที่สุดของบัญญัติและสมมุติ  ขันธ์จะอยู่นอกบัญญัติและนอกสมมุติ

แต่เบื้องต้นนี่ มันจะถูกสมมุติและบัญญัติออกมารบเร้าอยู่ตลอด และเราให้ค่าตามบัญญัติและสมมุติ..ด้วยทิฏฐิ นั่นแหละคืออุปาทาน...ให้ทัน ด้วยความอดทน

แล้วกลับมาอยู่ในฐานของการรู้ตัวบ่อย จนตั้งมั่น พอตั้งมั่นแล้วก็ให้อยู่ด้วยสติปัฏฐาน ...ทำอะไรก็รู้ ยืน เดินนั่งนอนพูดคุย มีอารมณ์ การเห็นการได้ยิน กำลังคิด กำลังทำอะไร

รู้อยู่ๆ เห็นอยู่ในอาการที่แสดงไป ตอบโต้ไป พูดจา กริยาอาการ รู้ ด้วยความเป็นปกติ ง่ายจะตาย การปฏิบัติ ไปทำให้มันยากซะยังงั้น มันก็เลยยาก

ถ้าเข้าใจตรงแล้วนี่ มันก็อยู่ต่อหน้าเรานี่แหละ (เสียงสัมผัส) นี่ๆ เขาแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปหาหรอก ระลึกขึ้นมานี่ ธรรมก็ปรากฏแล้ว...กายอันนึง ใจอันนึง  

รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจ..ปัจจุบัน ...ไม่ใช่กายเราตอนอยู่บ้าน กายเราตอนกำลังจะกลับ..ไปเปิดประตูรถ กายเรากำลังจะเดินไปใส่รองเท้า ...อันนี้เกิน เกินปัจจุบัน

ให้กายตรงนี้เป็นแค่ปัจจุบัน...คือตัวนี้ รู้ตัวนี้ ...ให้มันพอดีสมดุล...กายใจ รู้กายรู้ใจในปัจจุบัน ...กายไม่ล้ำ ใจก็ไม่ล้ำ

ไม่ใช่กายอยู่นี่ ใจล้ำไปข้างหน้าแล้ว ไปถึงรถแล้ว ไปถึงบ้าน ไปถึงงานแล้ว ตัวยังอยู่นี่เลย ...ถึงว่าต้องกลับมารู้ตัวในปัจจุบัน เห็นมั้ย มันจะสมดุลเป็นกลางพอดีกัน

พอใจออกนอกปัจจุบันปุ๊บ เครียด กังวล สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่รู้ตัว เศร้า หมอง ขุ่น มัว ลังเลสงสัย ...พอกลับมารู้ตัวนี่ มันสบายแบบไม่มีอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย งานก็ไม่มี

เมื่อกี้โยมว่าหลวงปู่พูดเรื่อง มรณัง เม ภวิสสติ ใช่มั้ย ...ตอนที่รู้ตัวนี่ มีอะไรมั้ย เหมือนคนตายมั้ย อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี ความคิดความจำก็ไม่มี หน้าตาตัวตนก็ไม่มี ชื่อเสียงลาภยศผู้คนญาติโกโหติกาไม่มี

เห็นมั้ย เหมือนคนตายมั้ย ... ตายมันทุกขณะจิตนั่นแหละ มรณัง เม ภวิสสติ  เนี่ย ถ้าเห็นความตายได้ตลอดเวลา สบายมากเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย

ถ้ามันไม่ตายแล้วมันดิ้น จะได้นั่น จะเป็นนี่ ต้องมีนั่นต้องมีนี่ หน้าก็บานเท่ากระด้ง ต้องใหญ่ไว้ ตัวตนก็ต้องเข้มแข็ง แข็งแกร่งไว้ คนเขาจะได้มาก้าวก่ายเราไม่ได้ ...นี่มันคนเป็น

พอมาอยู่รู้ตัวตรงนี้ เหมือนคนตาย ไม่มีอะไรเลย ทำอะไรไม่ได้เลย ...ตายมันทุกขณะจิตๆ นั่นแหละ มันจะได้ไม่กลับมาเกิดอีก หรืออย่างมากก็เกิดน้อยลง

ตายทุกลมหายใจ มีอะไรคิดไม่ออกบอกไม่ถูก สงสัย  กำลังทำ กำลังมั่ว กำลังดันทุรัง กำลังยุ่งวุ่นวี่วุ่นวายไอ้นั่นนู้นนี้ ...กลับมารู้ตัวตรงนั้นเลย ให้สังเกตดู หายหมด...หมดสิ้น ณ บัดนาว ณ บัดนั้นน่ะ

ดูสิ สังเกตดูเอา แล้วให้มั่นคงลงไปในรู้ ในปัจจุบันนั่นแหละ แก้ได้หมด ด้วยวิธีไม่แก้ กลับมารู้ลงไปเลยในปัจจุบัน ...ถ้ายังพยายามแก้ เราเรียกว่าดันทุรัง

ดันทุรังก็คือส่งออก ส่งออกก็คืออยู่นอกเหนือปัจจุบัน...ทุกข์ตลอดสาย  เป็นสมุทัย..ตั้งแต่กำลังแก้น่ะ กำลังทำอะไรอยู่...พอรู้ตัวแล้วหยุดหมด สังเกตเอาเอง สังเกตบ่อยๆ รู้ตัวบ่อยๆ

มันจะเข้าใจว่าเวลารู้ตัว รู้ลงในปัจจุบัน อาการทุกอย่างหยุดหมด...ดับ ในตัวของมันเอง สิ้นชาติสิ้นภพในปัจจุบันเลย ...ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่เกิดแล้ว  จิตขณะที่รู้ตัวนั้น หยุดการเกิดชั่วขณะแล้ว

หยุดเอาจนมันตายน่ะ เอามันตายจริงน่ะ เอาจนใจนี้ตาย ตายจากความเข้าไปปรุงแต่งกับขันธ์น่ะ นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าตายจริง ถึงจะเรียกว่าดับขันธ์

ตายบ่อยๆ ให้จิตมันตายบ่อยๆ ตายอยู่กับความรู้ตัว แค่รู้ตัว ...แล้วเรารักษาสติในปัจจุบัน เท่าที่จะทำได้ ทั้งหมดนี่คือมรรค แค่อยู่ในครรลองของสองสิ่ง...รู้กับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

นี่คือว่ารู้ตัวนี่ชัดอยู่ในสองสิ่ง ท่านเรียกการเพียรพยายามกลับมาอยู่นี้...สม่ำเสมอต่อเนื่อง นี่เรียกว่าเจริญมรรค ...ไม่มักมากไม่มักน้อยอ่ะ แต่เรียกว่านี่คือมรรค...มรรคาปฏิปทา

ไม่ต้องไปเถียงกับใคร่อ่ะ ไม่ต้องไปฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์อะไรน่ะ ...พอมันเริ่มจะหาจะค้น จะลังเลนั้นจะลังเลนี้ รู้ ปั๊บ รู้ตัวปั๊บ ขาด หาย

อย่าเสียดายความไม่รู้ อย่าเสียดายความสงสัย อย่าเสียดายว่ายังไม่เข้าใจสิ่งที่มันยังสงสัยอยู่ ...รู้ตัวปุ๊บ หมดสิ้นซึ่งความเสียดาย อาลัย  มันขาดภพ ภพจิต ภพจิตมันขาด

อย่าเสียดายภพ ...ถ้าเข้าไปอยู่ในภพ เดี๋ยวมันจะต่อไปเป็นชาติ เดี๋ยวมันจะออกมาเป็นเวทนาสัมผัสสัมพันธ์กัน เดี๋ยวจะเกิดเป็นสุขเป็นทุกข์แล้วจะติดข้องกับมัน

หักอกหักใจ ละมันซะเลย ไม่รู้ก็ไม่รู้ ผิดก็ผิด ไปไม่ได้ก็ไปไม่ได้ ...ละมันตรงนั้นน่ะ ละความเห็นนั้น ละความคิดนั้นซะ กลับมารู้ตัวลงในปัจจุบัน เอาให้มันเด็ดเดี่ยวลงไปในปัจจุบัน

ตายเป็นตาย ตายกับความไม่รู้อะไรอย่างที่เราอยากรู้ หรืออยากมี หรืออยากไป หรืออยากเป็น เนี่ย ก็ให้เด็ดเดี่ยวลงไป ละ กลับมาเหมือนคนตาย ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต

ถึงเรียกว่าเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นมรรคสมังคี รวมลงเป็นหนึ่งในอริยมรรคมีองค์แปด โดยย่นย่อคือศีลสมาธิปัญญา ไม่มากไม่น้อย มีแค่สอง...รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ในปัจจุบัน

สงสัยอะไรมั้ย ...ไม่กล้าสงสัย ห้ามสงสัย ฟังแล้วห้ามสงสัย สงสัยปุ๊บ...รู้ ไม่สงสัยแล้ว ...รู้บ่อยๆ ...เอ้า พอ จบ


โยม (คุยกัน)   ถามอะไรท่านมั้ยครับ

พระอาจารย์ –  สงบระงับ สันติอยู่ภายใน อยู่ดูมัน ...นี่ เคยดูมันแบบเงียบๆ มั้ย อยู่เงียบๆ  แล้วก็ดูว่าเวลามันพูดนี่ ให้ทันไอ้ตอนที่มันจะพูดออกมาในใจ ใจมันชอบพูดไม่หยุด

ใจมันพูดไม่หยุด นั่นน่ะปรุง ...ให้ทัน แล้วมันก็จะเงียบ  อยู่ในความเงียบ  รู้เงียบๆ รู้แบบหงิมๆ เงียบๆ เบาๆ ...พอมันจะเอะอะๆ เอาแล้ว นั่นแหละปรุง นั่นแหละนาม...ปั๊บนี่ให้ทัน

อย่าจับมาเป็นอารมณ์ต่อเนื่อง อย่าเสียดายว่าจะโง่ถ้าไม่ได้คิด ...โอ๋ย ถ้าโง่เพราะไม่ได้คิดก็ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีพระอรหันต์แล้ว

จนสิ้นสุดซึ่งความปรุงแต่ง เอาจนจิตดวงนี้มันตาย ชักดิ้นชักงอ ...มันจะชักก็ให้มันชัก ดูซิใครจะตายก่อนกัน ตายแน่ๆ ...เอาจนมันตาย จนจิตมันตายน่ะ 

ตายแบบ ตายแห้งตายหาย ตายแบบสุญโญ เหือดแห้งหายไปจากใจนั่นแหละ ความปรุง ความอยากปรุงนั่นแหละ ตายแน่ๆ ลองดูสิใครตายก่อนกัน


โยม –  ที่หลวงพ่อเล่าเรื่องคนที่ขายของแล้วภาวนา แล้วมันจะเป็นเหมือนคนปกติหรือคะ คือเขาก็คิดอะไรไม่ออกเหมือนคนปกติ

พระอาจารย์ –  อย่าไปสงสัย รู้ไปดูไป ใจดวงนี้เป็นอาจารย์ สอนตัวมันเองได้ตลอด ...อย่าไปคาดคะเนกับเขา อย่าไปคาดสภาวะ ...พวกนี้เป็นการปรุงหมด

อย่าไปปรุง กลับมารู้ตัวซะ ทิ้งให้หมด อย่าเสียดาย ว่าไม่เข้าใจ ว่าจะไม่เห็นสภาวะล่วงหน้า อยากรู้อนาคตกันจัง บอกแล้วให้อยู่แบบคนสิ้นอนาคต เป็นคนสิ้นอนาคต เป็นคนไร้อนาคตสิ้นดี

เหมือนคำด่าเลยนะ อยู่แบบคนไร้อนาคตเลย ไม่มีอดีตไร้อนาคต เป็นคนไร้สาระในโลก ...นั่นแหละ เหมือนคนตายเดินอยู่ในโลกของคนเป็น เพราะนั้นไอ้คนตายนี่ ตายแบบมีสาระ 

ไอ้คนเป็นน่ะเป็นแบบเกะกะ มันเกิดมารกโลก เกะๆ กะๆ เก้ๆ กังๆ ได้นั่นได้นี่ ทำนี่ทำโน่น โอ้โหย มันว่ามันได้สำเร็จ มันภูมิอกภูมิใจมีคนยกย่อง สุดท้ายตายไม่เหลืออะไรสักอย่าง นั่นน่ะเกิดมาเกะกะ

แต่ไอ้คนตายแบบคนตายเดินไปเดินมานี่ ตายแบบมีสาระ ตายแบบเพื่อไม่กลับมาเกิด มันชิงตายซะก่อน ตายซะก่อนมันจะตายจริง ก่อนขันธ์มันจะตาย ให้จิตมันตายพร้อมกัน นั่นแหละ ไม่เกิด

แต่ไอ้พวกที่พยายามขยันสร้าง ขยันจะเข้าไปเกิด โดยเข้าใจว่าชีวิตนี้มีสาระในการต้องมี ต้องเป็น ต้องทำอะไรสักอย่างนึง เพื่อตราตรึงไว้ในโลก เพื่อให้จดจำไว้ในโลก เพื่อให้เป็นที่กล่าวขาน

หรือแม้แต่ในการปฏิบัติก็ต้องให้รู้นั่นเห็นนี่ เข้าใจนั่นเข้าใจนี่มากมายก่ายกองมหาศาล ...สุดท้ายตายทั้งนั้น หายหมด ไม่เหลือ

กลับมารู้เปล่าๆ กลับมารู้อยู่กับเปล่าๆ ตัวก็เป็นตัวเปล่าๆ ...แล้วให้สังเกตมันไม่ยอมเปล่าตรงไหน...ให้ทัน  อย่าไปหาอะไรมาเพิ่ม อย่าไปเก็บ อย่าไปควาน อย่าไปซาวออกไป

กลับมารู้อยู่ รู้ตัว แล้วไม่มีอะไร ...กลับมารู้อยู่กับตัวบ่อยๆ แล้วจะเห็นว่า ออกนอกนี้ไปไม่มีแก่นสารสาระหรอก เสียเวลา เสียประโยชน์สูงสุด

หนึ่งละบาป สองบำเพ็ญบุญ นี่เป็นสาระที่พระพุทธเจ้าบอกเบื้องต้น สูงสุดคือชำระจิตให้บริสุทธิ์

พอแล้ว หามามากแล้ว ทำมามากแล้ว รู้มามากแล้ว รู้จนเกินนิพพาน...วิธีการปฏิบัติน่ะ มันแจ้งจนยิ่งกว่านิพพานสิบรอบแล้ว บอกให้เลย

แต่กูก็ยังหงุดหงิดๆๆ รำคาญตัวเอง รำคาญคนรอบข้าง รำคาญพ่อ รำคาญแม่ รำคาญเพื่อนอยู่นี่ ...ไอ้รู้อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ สู้ไม่รู้มันซะดีกว่า

กลับมาตายซะเลย ตายออกจากความคิด ตายออกจากอารมณ์ ตายออกจากอดีต ตายจากอนาคต ตายจากคนรอบข้าง ตายอยู่กับตัวเองในปัจจุบันนั่น

จนมันตายไปพร้อมกันทั้งขันธ์และจิต นั่นแหละจบ ...ใครเข้าใจ ใครไม่เข้าใจ ใครพยากรณ์ ใครไม่พยากรณ์...ไม่สนใจ กูไม่เกิดอีกแล้ว กูรู้เอง แค่นั้นพอ

ใครว่าถูกใครว่าผิด...ไม่สน มันรู้เองว่าจิต...ขนาดเดินไปเดินมากูยังไม่เกิดเลย จิตดวงนี้มันก็รู้เลยว่ามันไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดมากับขันธ์น่ะ

ไม่ออกมาเกิดกับขันธ์เลย ไม่ออกมาเกิดกับเสียง ไม่ออกมาเกิดกับรูปที่ตาเห็น ไม่ออกมาเกิดกับกลิ่น ไม่ออกมาเกิดกับรส ไม่ออกมาเกิดกับกายเย็นร้อนอ่อนแข็ง

มันรู้เองเลยน่ะ มันไม่ต้องให้ใครมายืนยันนั่งยันนอนยัน อาจารย์องค์ไหนจะมายันก็ไม่เท่าใจมันยันของมันเอง ...ถึงจะเกิดที่เขาเรียกว่าบันลือสีหนาทในตัวของมันเองน่ะ

เพราะมันแจ้งจนไม่ต้องให้ใครเอาไฟฉายมาส่อง มันแจ้งแบบไม่มีอะไรมาปกปิดปิดบังซ่อนเร้นได้ ...นั่นแหละ ทุกคนมีสิทธิ์ทั้งนั้นแหละ ทำได้ทั้งนั้นแหละ

มันไม่ยอมทำ มันมัวแต่หาข้างหน้าข้างหลังอยู่นั่นแหละ แล้วก็ไปหาถูกหาผิดกับคนอื่น ...มันเสียเวลา มันเนิ่นช้า

ไม่ต้องโปรดหรอก ไม่ต้องสงเคราะห์หรอก เอาตัวเองนั่นแหละ ...ก็บอกเอาแต่ตัว รู้ตัว รู้ตัวก็บอกแล้วมันเรื่องของตัวเอง ต้องเอาตัวก่อนน่ะ เอาตัวเป็นหลักก่อน

เพราะนั้นเราไม่ต้องเมตตาคนอื่น มีคนพยายามจะออกมาเมตตากันเยอะแยะจนเต็มไปหมด ...เมตตาตัวเองเยอะๆ ถามตัวเองซิว่าจะเกิดอีกกี่ชาติ มันตอบได้มั้ย

มันยังมองไม่เห็นเลยว่าจะกลับมาอีกกี่ชาตินี่ ให้รู้ไว้เลยไม่มีวันจบ ...ขยันเข้าไว้ เพียรเข้าไว้ เพียรกลับมารู้ตัวอยู่ในที่อันเดียว

สละละออกจากการที่ก้าวก่ายออกไปจากปัจจุบัน ไปคว้าไปหมาย ไปจับไปซาว ไปถือไปครอง ไปหาที่ตั้งที่หมายตรงนั้นตรงนี้ ...ไม่ว่าจะเป็นนิพพงนิพพานข้างหน้า...ไม่เอาทั้งสิ้น

กลับมาอยู่กับตัว รู้ตัวนี่ ...มันจะดื้อมันจะด้าน มันจะไม่ยอมขนาดไหน ก็ต้องอดทนกับมัน  มันจะกระเหี้ยนกระหือรือด้วยความอยากรู้ใคร่รู้ใคร่เห็นในธรรมนั้นธรรมนี้...ไม่รู้ ไม่เอา

เอามันจนหมดกำลังน่ะ เอาจนมันตายขาดตายแห้งไปเลย เหือดแห้งซึ่งตัณหาอุปาทาน ...มันถึงจะพอกัน มันถึงจะได้หยุดหายใจได้หยุดพัก

แต่ขณะที่มันยังฟาดหัวฟาดหางกางแขนกางปีกจะโผบินอยู่เรื่อยนี่...ไม่ได้นะ ...กลับมาหยุดอยู่ รู้อยู่ ในปัจจุบันให้ได้ อย่าไปๆ มาๆ ...ปลิดปีกปลิดหางซะ

กิเลสมันกระโดดโลดเต้นเหมือนลิงจับหลัก มันไม่รู้จักคำว่าพอหรอก..ความปรุง  ยิ่งปรุงเท่าไหร่ มันยิ่งอ้วนอิ่มหมีพีมันแล้วยิ่งมีเรี่ยวมีแรง

มันยิ่งฮึกมันยิ่งเหิม มันยิ่งแข็งแกร่งมันยิ่งเป็นตัวเป็นตน ...ต้องทำหมันมันซะมั่ง อย่างน้อยให้ทำหมัน หยุดอยู่ รู้อยู่เปล่าๆ รู้อยู่เฉยๆ รู้แบบเงียบๆ หงิมๆ

รู้เบาๆ รู้สบายๆ รู้แบบไม่เอาอะไร รู้แบบไม่มีเป้าหมาย มีแต่รู้กับปัจจุบัน เป็นปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม ...แค่นั้นแหละการภาวนา

เอาแล้ว เดี๋ยวอีกหลายชั่วโมง เอ้า...ไป


..................................




  

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/25 (3)


พระอาจารย์
3/25 (540322A)
22 มีนาคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/25  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  แล้วไม่ต้องกลัวจะไม่เข้าใจกิเลส ... กิเลสมันก็เกิดมาจากตรงนี้แหละ มันก็เกิดมาจากตรงที่รู้ตัวในปัจจุบันนี่แหละ มันก็ออกมาจากปัจจุบันตรงนี้ 

มันจะออกมาจากตรงไหนได้ล่ะ มันมีที่ออกอยู่ที่เดียวน่ะ ...ก็ถ้าเฝ้าอยู่ตรงปัจจุบันนี่ มันจะไม่เห็นได้ยังไง มันจะไม่เข้าใจได้ยังไงว่าอะไรคืออะไร มันก็ออกมาจากจุดนี้ทั้งนั้น

ถ้ารู้อยู่ในที่นี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่แจ้ง จะไม่เกิดการรู้รอบในขันธ์ทั้งปวง ในกิเลสทั้งปวง ทั้งน้อย ใหญ่ หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต จนถึงขั้นไม่มี

ก็อยู่ที่ตรงนี้...ในปัจจุบันธรรมที่อยู่กับปัจจุบันจิตนั่นแหละ อย่ามัวแต่ไปหาอะไรนอกปัจจุบัน...นอกปัจจุบันธรรม นอกปัจจุบันจิต

ใจที่แท้จริงน่ะ ไม่ต้องหา ไม่ต้องทำ ไม่ต้องสร้าง แค่รู้ตัวนั่นแหละ มันก็อยู่ตรงนั้น คู่กันกับขันธ์คือตัว ก้อนๆ ความรู้สึกเป็นมวลนั่นแหละ ไม่ใช่ชาย-หญิง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา

เห็นมั้ย มันเป็นตัว ...ตัวอะไรล่ะ  ตัวอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ...อยู่กับไอ้ตัวอะไรไม่รู้นี้บ่อยๆ น่ะแหละ ไม่ต้องถามว่าจะละสักกาย(สักกายะ) ยังไง ละวิจิกิจฉายังไง ละสีลัพพตปรามาสยังไง

เวลามันขึ้นมา เวลามันสงสัยลังเลอะไรขึ้นมา อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ...กับที่มันจะดึงให้เราออกนอกการรู้ตัวตรงนี้ไป รู้ตรงปัจจุบัน

พอเห็นว่าสงสัยปั๊บ กลับมารู้ตัวเลย กลับมารู้ตรงกาย รู้ตัวในปัจจุบันนี่ซะ ...ก็จะเห็นว่าความสงสัยไม่มีอะไร เป็นอาการหนึ่ง เป็นนามอันหนึ่ง

เห็นมั้ย มันก็เป็นนามอันนึง เป็นความปรุงอันนึง ...แล้วก็ความที่สุดคืออะไร คือความดับไป เป็นไตรลักษณ์ มันตั้งอยู่ไม่ได้

ตั้งอยู่ไม่ได้เพราะอะไร ...เพราะไม่มีตัณหาเป็นตัวหล่อเลี้ยง มันก็ดับ ...ไม่ได้ทำให้มันดับเลยนะ พอไม่ไปตามมันแค่นั้น มันก็ดับ มันอยู่ไม่ได้หรอก

นั่นน่ะขันธ์ ...มันก็เข้าใจขันธ์ตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ  แล้วมันจะเข้าใจว่านี่แหละแล้วกูจะไปเอาอะไรกับมัน จะไปยึดไปถือมันเป็นสรณะที่พึ่งยังไง

มันพึ่งไม่ได้ ไปพึ่งขันธ์เป็นอารมณ์ไม่ได้นะ ไปพึ่งขันธ์เป็นสรณะเป็นที่ตั้งไม่ได้นะ พึ่งขันธ์เป็นมรรคเป็นผลไม่ได้นะ ...อาศัยให้เข้าใจขันธ์มันต่างหาก...ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน 

อันนี้ต่างหาก จึงจะเกิดความเข้าใจว่า อ๋อ นอกเหนือจากนี้ไปไม่มีอะไร ...อย่าไปคิดว่ามันมี อย่าไปคิดว่ามันเป็น อย่าไปคิดว่ามันใช่ ...มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ชั่วคราวประเดี๋ยวนึง

พระพุทธเจ้าเปรียบขันธ์เหมือนฟองน้ำ ที่เม็ดน้ำหยดลงมาในบ่อน้ำแล้วก็เป็นฟองผุดขึ้นมา แล้วมันก็แตกสลายไป ...พระพุทธเจ้าท่านบอกนั่นน่ะขันธ์

แต่เนี่ยไปจริงจังกับมันเหลือเกิน เป็นตุเป็นตะ เป็นกอบเป็นกำ เป็นหมายเป็นมั่น เป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นต้องๆๆๆ ให้ได้ๆ ให้มีๆ กับมัน

กลับมา...ลองกลับมารู้ตัวบ่อยๆ สติเท่าทันบ่อยๆ ...แล้วจะเห็นว่าตลอดทั้งชีวิตที่อยู่นี่ ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารเลย  มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ วูบๆ วาบๆ ไหลไปไหลมา

หาความเป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นมั่นเป็นเหมาะไม่ได้สักอย่าง  บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป ไม่มีมารยาท ไร้มารยาท ไม่มีสัมมาคารวะ มาก็ไม่บอกกล่าว ไปก็ไม่ลาไม่ไหว้

ขันธ์ ...เพราะเขาเป็นธรรมดา ปกติของเขาอย่างนี้ เขาไม่มีเจตนาอะไรหรอก ...พอรู้ตัวนี่ ทุกคนนี่เหมือนกันหมด เป็นตัวเดียวกันหมด เป็นรู้อันเดียวกันหมด

ไม่ต้องเถียง...พระพุทธเจ้าบอกใจดวงเดียวกัน ขันธ์ก็คือการปรุงแต่งร่วมกันขึ้นมาเป็นตัว แล้วแต่ตัวนี่จะวูบๆ วาบๆ ออกมาเป็นความคิดความจำความหมายอะไรขึ้นมา

ถ้าเราเท่าทัน...แล้วไม่จับมันมาต่อเนื่องด้วยอำนาจของตัณหา หรือไปหมายมั่นในอดีตอนาคตด้วยอุปาทาน  มันก็จะดับให้เห็นต่อหน้านั่นแหละ

อย่าไปควานหามรรคผลในอดีตอนาคต ปฏิบัติเพื่อสำเร็จในวันข้างหน้า ...เออ มันตั้งสัจจะนี้ไม่รู้กี่ร้อยชาติแล้วแต่ละคนน่ะ ตายอีกเกิดอีกๆ ก็ปฏิบัติเพื่อข้างหน้าจะดีขึ้น

แล้วก็ว่าสะสมบารมีไป เดี๋ยวก็เต็มแล้วก็สำเร็จหรือว่าเกิดปัญญาขึ้นมาเอง ...กลายเป็นว่าปัญญานี่เหมือนข้าวคอยฝน เมื่อไหร่ฝนจะตกแล้วข้าวกูจะออกรวงวะ จะได้กินอิ่ม ขี้ออกสบายท้อง

ปัญญาไม่เกิดนะ ตราบใดที่ยังตั้งอยู่กับอดีต ตั้งความหมายมั่นอยู่กับอนาคต ตั้งอยู่กับว่าทำอันนั้นได้อันนี้ ทำอันนี้ได้อันนั้น ...มันจะไม่เห็นที่สุดของทุกข์

คำว่าที่สุดของทุกข์นี่คือทุกขสัจนะ คือความดับไปเองของทุกสิ่ง ...ไม่ใช่เอามือเอาไม้ เอามีดเอาขวานไปทุบไปถอง ไปฆ่าไปฟันมัน ไปดับมัน ไปทำลายมัน ...อย่างนั้นไม่ใช่ทุกขสัจ

ไอ้อาการที่เข้าไปกระทำนั่นน่ะ ด้วยอุปาทานทั้งสิ้น ...บ้านมีเก้าอี้มีให้นั่งดูนอนดูเฉยๆ ก็ไปเอามือไปป้อง ไปปัด ไปวาดร่ายรำอยู่ท่ามกลางแดดท่ามกลางฝนน่ะ

แล้วก็ว่ากูทำได้ ...บางครั้งกูก็ชนะ บางครั้งกูก็แพ้ บางครั้งกูก็เจริญ บางครั้งกูก็เสื่อม บางครั้งวิธีการนี้มันเจริญได้ตั้งนาน บางครั้งวิธีการนี้ไม่ได้เรื่องเลย

แล้วก็มาหัวเราะไอ้คนนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ...เฮอะ ไม่เห็นได้อะไรเลย โง่ๆๆ กูนี่ฉลาด ...เลยเกิดการแบ่งพวก พวกนึงโง่พวกนึงฉลาด ออกไปวาดลวดลายร่ายรำกันท่ามกลางแสงแดดสายฝน

จนหันมาเหยียบหัวแม่ตีนกัน ชกกัน...เด็กๆ เหมือนเด็กอนุบาลน่ะ เหยียบเงาหัวกัน...มึงอ่ะมาเหยียบเงากู กูก็เหยียบเงามึงคืน ต่างคนต่างเหยียบเงา

ชกกันเอาเป็นเอาตายปากแตกหัวแตก ไปฟ้องแม่ฟ้องพ่อกัน  พ่อแม่มันก็เข้าข้างลูก ย้ายบ้าน ยกสำนักออก ย้ายสำนัก เป็นสำนักตีกันเลยคราวนี้

เอ้า เริ่มต้นจากเด็กอนุบาลมันเหยียบเงาหัวกัน อู้ย มันเป็นเรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตายถึงขั้นนั่นไม่ใช่นิพพาน นี่นิพพานเที่ยง นี่นิพพานไม่เที่ยง ...บ้าป่าววะ

ผลของการออกมาเล่นนอกบ้านจนเหยียบหัวแม่ตีนกัน จนเหยียบเงากัน ด่าพ่อล่อแม่กัน ...คนมีปัญญาก็นั่งอยู่ในบ้านแล้วก็ได้แต่พูดว่า... เฮอะ เฮ่อ ได้แค่เนี้ย เฮ่อ มันเป็นจะอั้นติ

เพราะนั้น สงบ ตั้งมั่น เป็นกลาง ในที่อันเดียวคือปัจจุบัน นี่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ...ก็ไม่รู้ว่ามันมีวิธียังไง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องให้ไปนั่ง หรือยืน หรือเดิน หรือว่ากำหนดภาวนาอะไร

แต่เราบอกว่า สงบ ตั้งมั่นในปัจจุบัน ด้วยจิตที่เป็นกลาง...ไปทำเอาเหอะ ...จะเอาหัวปักดินตีนชี้ฟ้าก็ได้ หรือไปยืนขาเดียวกลางแดดก็ได้ ...ไม่ผิด

ถ้าอยากด่า...ด่าไป ใครจะว่าบ้า...ว่าไป ไม่ผิด ...ถ้ายืนด้วยขาข้างเดียวมือชูขึ้นท้องฟ้า...ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางในปัจจุบัน ...ทำไปเหอะ

หรือจะนอนไม่ลุกเลย ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง สงบ ระงับ ในปัจจุบัน...ทำไปเหอะ ไม่ผิด ...เพราะนี่คือหลักของสัมมาทิฏฐิ ของมัชฌิมาปฏิปทา

เพราะนั้นมันจะปฏิปทายังไงก็ได้ที่เป็นมัชฌิมา มันไม่ได้ขึ้นกับกาล เวลา สถานที่ บุคคล หรืออาการภายนอก

จะเห็นอะไร จะไม่เห็นอะไร จะมีความรู้อะไร ไม่มีความรู้อะไร...ไม่สน รู้อย่างเดียวว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ...เราไม่ให้ความสำคัญเมื่อไหร่ มันดับเหมือนกันหมดน่ะ

สงบก็ดับ ฟุ้งซ่านก็ดับ ดีก็ดับ ไม่ดีก็ดับ  เอาดิ จะเอาอะไร ...สุขก็ดับ ทุกข์ก็ดับ ไม่เห็นมันมีอะไรอยู่น่ะ ...มีอยู่อย่างเดียวคือ มีรู้ กับไอ้ตัวเนี้ย ธาตุนี่ ก้อนนี้ จนตายน่ะ

แล้วแต่ไอ้ก้อนนี้มันจะเสกสรรอะไรออกมาเป็นขันธ์ หยาบ ปานกลาง ละเอียด ประณีต จนถึงไม่มี ...มันก็คือความปรุงแต่งของขันธ์ จะปรุงออกมาเป็นยังไงก็ได้ ตามเหตุปัจจัยที่มันกระทบ

เหมือนก้อนดินน่ะ เหมือนก้อนดินเหนียว ดินน้ำมันนี่ โดนอะไรกระทบแป๊บนี่เปลี่ยนรูปแล้ว แป๊บนี่เปลี่ยนรูปแล้ว เอาดิ ดินมันจะเป็นยังไงก็ได้

เหมือนขันธ์ แล้วก็มีใจ...คนที่ถือก้อนดินนี้อยู่...นี่ จะถือเฉยๆ หรือเปล่า ...ไม่ใช่ว่ารูปนี้ ปั๊บ ไม่สวย ต้องปรับเนี่ยๆๆ ไอ้อย่างนี้ต้องรักษาให้ได้กลมดิ๊กเลย ขันธ์นี้ เนี่ยๆๆ

ดูดิ เห็นมั้ย ไอ้เนี่ยเขาเรียกว่าไปยุ่ง ตัวนี้ไปยุ่งกับขันธ์ จนขันธ์นี่เลือกไม่ได้ ...จะบูดๆ เบี้ยวๆ บิดๆ เป็นแบนเป็นราบอะไร แล้วแต่ขันธ์จะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาทั้งภายในภายนอก

ทั้งกรรมเป็นปัจจัย ทั้งวิบากเป็นปัจจัย ทั้งเหตุปัจจัยภายนอก ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ มาตบมาตี มากระทบมากระเทือน มาเสียดมาสี ...แล้วแต่

มันก็ผลคือวิบาก มันก็แปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยนั้นๆ ...แต่เวลามันแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยนั้นๆ...นี่ๆ ไอ้คนถือก้อนนี้ พอใจมั้ย ไม่พอใจมั้ย อยากมั้ย ไม่อยากมั้ย

เนี่ย...ไอ้ตัวนี้...ดูเอา ...เอาจนว่า หึ...เหรอ หึ...อือ หึ...เออ ก็แค่นั้น ...จบ นั่นน่ะจบ อยากจบมั้ยล่ะ
ไม่ใช่จบด้วยการว่า ฉันทำขึ้นมา จนขันธ์นี่เป็นอย่างที่ฉันต้องการ

ดินก้อนนี้ฉันฉาบทาอย่างดี โค้ดอย่างดี หล่อหลอม แข็งแกร่งเป็นก้อน ไม่มีทางแปรเปลี่ยน แปรปรวน เที่ยง..เที่ยง อมตธาตุ อมตธรรม...คือเที่ยง

เมื่อมันเที่ยงอย่างนี้แล้วกูก็พอใจดิ สบาย  ใจก็ไม่มีความอยากไม่อยาก เพราะเราถือของที่เที่ยง...มันจะเอาอย่างนี้

กับไอ้คนที่ถือแบบ...แล้วแต่เขาจะเมตตาประทาน ...ตีนมาก็บิด ฝนมาก็เปียก แดดมาก็ร้อน นี่แล้วแต่ฟ้าจะประทาน แล้วก็เป็นแค่ผู้ที่ถืออยู่เฉยๆ ธรรมดา อือ มันจะขนาดไหน...ก็ธรรมดา

รู้เปล่าๆ รู้โบ๋เบ๋ รู้แบบอนันตมหาสุญญตา รู้แบบไม่มีเป้าหมาย รู้แบบธาตุรู้ที่เป็นอิสระ...จากการเข้าไปปรุงแต่งหมายมั่นในขันธ์ อวิชชาปัจจยาสังขารา

หยุดสิ้นการไปปัจจยากับสังขาราทั้งปวงทั้งหมดนี่ ...ก็แค่กลับมารู้ตัวนี่ รู้โง่ๆ นี่ รู้แบบไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็นอะไรนี่ รู้แบบไม่มีวิธีการอะไรเลย รู้ได้ตลอดเวลาเลย

อยู่ที่ความขยัน ความเพียรน่ะ รู้แบบไม่ต้องมีข้ออ้างหรือว่าไม่ต้องมีเงื่อนไข ...จะรู้ตรงไหนก็ได้ จนมันต่อเนื่อง รู้นี้ต่อเนื่อง รู้ชัดเห็นชัดอยู่ในปัจจุบัน

นั่นแหละ จะได้ไม่ไปเหยียบหัวแม่ตีนใคร จะได้ไม่ไปเหยียบเงาหัวกันแล้วก็เอาถูกเอาผิดว่านี่เขตฉันน่ะ  นั่นของเธอ นี่ของฉัน

มันมีเธอ มันมีฉัน มันมีเรามีเขาตรงไหนวะเนี่ย ไอ้ตัวกะรู้นี่ ห๊า  ถ้าหาเจอในระหว่างรู้ตัวนี่ว่า "เรา" อยู่ตรงไหน เอามาขึ้นเงินเลย จ่ายให้ ..ถามตัวมันน่ะ ตัวมันบอกว่าของใครรึเปล่า


(ต่อแทร็ก 3/26)