วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/24 (3)


พระอาจารย์
3/24 (540319)
19 มีนาคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  3/24  ช่วง  2

พระอาจารย์ –  เอากายเป็นเบื้องต้นที่ตั้งน่ะ...ตัวนี่ มันเป็นอะไรล่ะ ดูไปสิ ตัวนี่ๆ  รู้ตัว ดูที่ตัวนี่ ...ชายก็ยังไม่รู้ หญิงก็ยังไม่ใช่เลย สวยมันก็ไม่เคยบอก หรือไม่สวยมันก็ไม่เคยว่า

มือตีนมันก็ยังไม่เป็นเลย หน้าตามันก็ยังไม่รู้เลยมันเป็นอะไร ดูหน้าซิมันเป็นยังไง มันเป็นก้อนๆ แค่นั้นน่ะ ...เห็นมั้ย มันมีคำพูดตรงไหน มันเป็นเรายังไง เป็นของเราตรงไหน

เนี่ย ดูแค่รู้ไปตรงๆ รู้ตัวจริงๆ น่ะ มันก็อยู่กับก้อนอะไรก็ไม่รู้ ...แต่มันบอกว่าเห็นแค่นี้ยังไม่พอ ...ทำไมมันไม่พอวะ หือ มันจะเอาอะไร

มันจะเห็นอะไรยิ่งกว่านี้ ฮึ มันจะเห็นกายเป็นอะไรยิ่งกว่านี้ ...มันเป็นธรรมจนไม่รู้จะเป็นธรรมยังไงแล้ว เป็นตามความเป็นจริงอย่างไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว ...ก็ยังว่าไม่จริงๆ

แล้วอะไรมันจริงวะ หือ ...“ก็เคยได้ยินมาว่า ก็เห็นเขาบอกว่า อาจารย์องค์นั้นบอกว่า อาจารย์องค์นี้บอกว่าต้องเห็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้นี่ไม่ใช่” เอาอีกแล้ว เริ่มโลเล ลังเล สงสัย

วิจิกิจฉาเกิดอีกแล้วครับท่าน แล้วยังอยากได้โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลเนี่ยนะ ...แต่สงสัยตรงไหนกูกระโดดขึ้นรถทันที ตาม หา ออกอีกแล้ว ออกจากธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรมปัจจุบันจิต

กายนี่ ถือเป็นปัจจุบัน ชัดที่สุด ก็เป็นตัวๆ ต่อนๆ ก้อนๆ นี่ รู้ตัวๆ รู้ตัวลงมา รู้ตัวนี่ รู้ที่ตัว อยู่กับเนื้อกับตัวนี่แหละ มันจะชักดิ้นชักงอตาย ก็ให้มันตายไปสิ ...ไม่ตายหรอก กลัว กลัวโง่

อย่าไปฟังมัน สังขารจิตน่ะ รู้ตัวลงไป รู้เข้าไปที่ตัวนี่ รู้แบบว่างๆ เปล่าๆ ไม่ได้อะไร ไม่เห็นเข้าใจอะไรนี่แหละ ...มันไม่เข้าใจอะไรหรอก

เพราะมันไม่เคยบอกว่ามันคืออะไร มันไม่เคยบอกด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร มันไม่มีชื่อ ถามเท่าไหร่มันก็บื้อ มันเป็นไอ้ใบ้น่ะ เห็นตัวมั้ย มันเป็นไอ้ใบ้น่ะ

เทิดทูนมันจัง ยกย่องมันจัง มันก็เป็นไอ้ใบ้ไอ้บอด ทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างนี้ ...ก็บอกว่ามันเป็นศพ เป็นซาก นี่ ไม่ต้องพิจารณาซากศพเลย อยู่กับศพ จะไปดูศพอื่น ...ดูมันทำไม

ก็อยู่กับศพทั้งวัน กินนอนกับมันทั้งวันอยู่แล้ว...ตัวนี่แหละ ก็ดูที่ตัวนี่แหละ รู้ตัว รู้สึกที่ตัว ชื่อก็บอกแล้วว่ารู้ตัว ให้รู้ตัว รู้ที่ตัว รู้ที่ความรู้สึกตัว ...นี่ ตรงจนไม่รู้จะตรงยังไงแล้ว ยังหาทางอ้อมไปจนได้ 

เออ ประหลาด มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  บอกให้รู้ลงไป ...นี่ สติปัฏฐานท่านก็บอกแล้ว อะไรเกิดขึ้นก็รู้  ยก ย่าง เหยียบ ขยับ เขยื้อน กระเพื่อม กระเทือน ไหว นิ่ง รู้ ...นี่ กายานุสติปัฏฐาน

จิตดี..รู้ จิตไม่ดี..รู้ จิตมีโทสะ..รู้ จิตไม่มีโทสะ..รู้ จิตมีราคะ..รู้ จิตไม่มีราคะ..รู้  ท่านไม่เคยบอกว่า จิตมีราคะทำให้ไม่มีราคะ เมื่อรู้ว่ามีราคะแล้วต้องทำให้ไม่มีราคะ นี่ ท่านไม่เคยพูดเลยนะในสติปัฏฐาน

มีราคะมากรู้ว่ามีราคะมาก มีราคะน้อยรู้ว่ามีราคะน้อย ไม่มีราคะก็รู้ว่าไม่มีราคะ มีโทสะรู้ว่ามีโทสะ ไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ

ท่านไม่ได้บอกให้ไปค้นไปหาอะไร เห็นป่าว ทำไมมันแสนรู้ เกินรู้ไป รู้มากเกิน ไอ้รู้มากเกินนี่แหละ แสนรู้ๆๆ ...แสนรู้เขาใช้กับอะไร


โยม –  หมา

พระอาจารย์ –  เออ ชอบเป็นหมา แสนรู้ อยากรู้เกิน ... ไอ้รู้แค่ “อะไรเกิดขึ้นก็รู้ๆ” มันไม่พอ ...เถียงอีกด้วย

หลวงปู่ท่านบอกว่า เนี่ย พวกศาสดาหัวแหลม มันตั้งตัวเป็นศาสดาหัวแหลม มันฉลาดกว่าพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าต้องรู้มากกว่านี้ รู้แค่นี้ไม่พอ ฮึ มันไปเอาศาสดาไหนมาบอกวะ

ตัวมันเองน่ะศาสดา มันตั้งตัวมันเองเป็นศาสดา แสนรู้จัง ไอ้จิตผู้ไม่รู้นี่ ...แต่เราเรียกกันว่าผู้รู้นะ แต่ภายในมันคือผู้ไม่รู้ ไม่รู้จริง ...แต่เวลาภาษาพูดก็บอกว่าจิตผู้รู้ แต่ข้างในมันไม่รู้อะไรเลย

บอกให้เลย ตราบใดที่มันยังมี “ผู้” อยู่ในรู้ ไอ้ “ผู้” นี่แหละคืออวิชชา ...เมื่อใดที่ไม่มี “ผู้” รู้  เมื่อนั้นก็มีแต่ “รู้” เปล่าๆ โบ๋ๆ รู้บ่ดาย ตรงกับที่ว่ารู้ซื่อๆ นั่นแหละ 

แต่พอรู้ซื่อๆ ปุ๊บ มันก็จะมี “ผู้” ขึ้นมาเสือก..เสือกอยากรู้อีก นั่นแหละ มันแอบอยู่ในนั้น มันไม่ยอมๆๆ มันดิ้น มันกระวนกระวาย มันควานหาธรรม มันควานหาบุคคล...บุคคล ๘ คู่ ๔

จะเอาให้ได้ ...อยากๆ อยากจะเป็นบุคคล อยากจะเข้าไปเสวย เป็นโสดาบุคคล โสดาปัตติมรรคบุคคล โสดาปัตติผลบุคคล เป็นบุคคล นี่

พระพุทธเจ้าท่านตั้งเป็นบัญญัติขึ้นมาเท่านั้นน่ะ พอให้พวกขี้สงสัยมันจะได้ทุเลาอาการกระหาย กระเหี้ยนกระหือรือในความอยากรู้อยากเห็น ก็พูดพอให้กำลังใจกันไป

แต่ในใจน่ะมันไม่มีขั้นตอนหรอก มีแต่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้แค่นี้ ...ไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ...กายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา  จิตไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา 

เวทนาก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา  ธรรมไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ...นั่นแหละคือผล ผลของสติปัฏฐาน ...แม้แต่ใจก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล  ใจก็เป็นแค่ใจ รู้ก็เป็นแค่รู้ 

ไม่มี “ผู้”  ไม่มี "เรา" ไม่ได้เป็นของใคร... ใจไม่ได้เป็นของที่ครอบครองของใคร เป็นแค่ธรรมชาติรู้...กับธรรมชาติที่อยู่กับมัน  คือธรรมชาติของไตรลักษณ์กับธรรมชาติที่รู้

นี่ อย่างนี้ ถ้าอยู่กันโดยสันติอย่างนี้ ไม่หือไม่อือ นี่เขาเรียกว่าสันติ ...ไม่หือไม่อือ ไม่เอ๊อะ ไม่เอ๊ะ ไม่อ๊ะ...ไม่มีอ่ะ เพราะไอ้นี่มันก็รู้เปล่าๆ โบ๋ๆ

ขันธ์ก็คือขันธ์ แกว่งไกวเป็นธรรมดา อันนี้ถือเป็นธรรมดา...ในโลก ในอาการของโลกธรรม หรือโลกียะ ...คู่กับโลกุตระ โลกุตระก็คือรู้เปล่าๆ

มันก็อยู่อย่างนี้ มันมีเหตุปัจจัยให้อยู่กัน กี่ปีก็แล้วแต่ ... ก็ไอ้นี่มันยังอยู่..ไอ้นี่ก็ต้องอยู่  เพราะมันยังไม่หมด

พอไอ้นี่มันหมด เริ่มซา เริ่มหมด เริ่มโรยเริ่มรา เริ่มจะฉีกขาด แตก พัง ...ขันธ์ห้านี่ เหมือนไฟกำลังมอด ไอ้นี่มอด...ไอ้นี่ก็มอด ...มันอยู่เพราะมันมีไอ้นี่ ไอ้ซากนี่

ไอ้ซากนี่มันกำลังมอด กูจะอยู่ทำไม มันก็โรยราไปพร้อมกัน นี่ ท่านเรียกว่าดับขันธ์ดับขันธ์ ขันธ์นี่ก็ดับ ผู้ที่รู้ขันธ์ก็ดับ ใจที่รู้ขันธ์ก็ดับ ...นี่ มันดับพร้อมกัน

แล้วไปไหนล่ะ ...ไม่รู้ ไม่ต้องถาม อยู่ไหนเป็นภพ ไม่รู้ไม่มี ไม่มีผู้บุคคลจะไปรู้ว่ามันอยู่ไหน ไม่ไปไหนแล้ว ...จะดับ จะเกิดมั้ย จะไม่เกิดมั้ย จะเที่ยงมั้ย จะไม่เที่ยงมั้ย จะสูญมั้ย จะไม่สูญมั้ย...ไม่รู้ กูไม่สน

เพราะไม่มี “กู” ไปสนแล้ว  มันหมดความเป็นบุคคล มันหมด ...จริงๆ มันหมดตั้งแต่ขณะที่ยังไม่ตายแล้ว ขณะที่อยู่กับศพคนเป็นนี่ล่ะ ดับขันธ์นี่ก็ดับ ดับตั้งแต่ก่อนตาย คือดับนี้ก่อน โบ๋เบ๋ก่อน 

ไอ้ตัวนี่ไม่ต้องไปดับหรอก เขาเป็นของเขาอย่างนี้ ...แม้แต่ว่าตัวนี้ ภาวะนี้ดับหมด ขันธ์ก็ยังมีอยู่ เป็นอนันตกาล เป็นวัฏฏะของมัน อยู่อย่างนี้ ไม่มีคำว่าจบ ไม่มีคำว่าสิ้น 

โลกนี้แตก โลกนี้ดับ ก็มีโลกใหม่เกิด สัตว์ก็มาเกิดใหม่ วิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ แล้วก็มาเกิดมาดับใหม่ โลกจะเป็นอย่างเนี้ย จะมาค้นหาอะไรกับมัน จะมาเอาอะไรกับมัน จะมาเอามรรคผลนิพพานอะไรกับมัน 

มันไม่มีอะไรให้เอาหรอก แล้วไม่ต้องไปหาความรู้อะไรกับมันหรอก ...มันเป็นอย่างเนี้ย  แม้จะเข้านิพพานแล้ว มันก็ยังเป็นอย่างเนี้ย มันไม่เคยฟังใครหรอก

ทำไมเราจะต้องไปดัดแปลงแก้ไข หวงแหน รู้ เข้าใจ เห็นความเป็นจริงอะไรกับมัน เกินที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เห็นว่ามันเป็นแค่ไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรหรอก

มันจะประกอบขึ้นมาเป็นรูปใหม่ นามใหม่ ละเอียดขึ้น พิสดารขึ้นขนาดไหน ...มันก็ไม่พ้นอาการของสามโลกหรอก คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ 

จะให้มันจับนู่น เติมนี่ ต่อนั่น เอาอันนี้ออก เอาอันนั้นเข้ามาปรุงใหม่ ขึ้นมาปั๊บให้เปลี่ยนรูปหน้าตาปุ๊บนี่ ผิวพรรณวรรณะออกมาเป็นลักษณะไหน มันก็อยู่ในสามภพนี้...รูปภพ อรูปภพ กามภพ...อยู่แค่นี้ 

แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ดับ ...เห็นแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องไปลงลึกในรายละเอียดมากมายก่ายกองหรอก มันเสียเวลา มันเนิ่นช้า ..แล้วมันจะบาดเจ็บล้มตายซะก่อน 

ก่อนที่จะไปแจ้ง หรือไปเข้าใจว่า...อ๋อ มันเป็นแค่ไตรลักษณ์แค่นี้ ...กว่าจะเห็นเป็นไตรลักษณ์ต้องเห็นเป็นเน่าเปื่อยแตกพังๆๆ ไปก่อนถึงเห็นไตรลักษณ์ทีนึงนี่ ตายแน่เลย ในการพิจารณาแต่ละครั้ง

บางครั้งพิจารณายังไงก็ไม่เห็นแตก ไม่เห็นดับอย่างเนี้ย ก็ไปเข้าใจว่า ปัญญาอ่อน ปัญญาไม่กล้า สะสมไป รอชาติหน้ามาพิจารณาต่อ กว่ามันจะเข้าใจว่า ถึงไม่พิจารณามันก็เป็นไตรลักษณ์ 

ก็ไม่ต้องไปสนใจ ก็เห็นว่ามันดับ พั่บๆๆๆ อยู่แค่นั้นแหละ ...ไม่ว่าความคิด ไม่ว่าความสุข ไม่ว่าความทุกข์ ไม่ว่ารูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อะไรก็ตาม

ถ้าเราแค่รู้ปุ๊บ เราไม่ให้ความสำคัญกับมันปุ๊บนี่ ก็จะเห็นเลยความดับไปของมัน บางครั้งก็ดับไปพร้อมกับอุปาทาน บางครั้งก็ดับเฉพาะอุปาทาน ไม่ดับขันธ์ ขันธ์ก็ปรุงไปแต่ว่าอุปาทานดับ

บางครั้งก็ดับพร้อมกัน ทั้งทุกข์อุปาทานแล้วก็ทุกขสัจ ...มันไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องดับว่างซะก่อนถึงจะแจ้ง เห็นขันธ์แจ้ง...ไม่ใช่ ...แต่มันจะแยกออกระหว่างทุกข์อุปาทานกับทุกขสัจ

เพราะนั้นในตัวของทุกขสัจนี่ เราจะแตะต้องเขาไม่ได้เลย จะไม่เข้าไปแตะต้องในทุกขสัจเลย แต่มันจะเห็นความดับของทุกข์อุปาทานที่มันซ้อนอยู่ในทุกขสัจนั้น ...นี่ ปัญญามันจะเข้าไปแยกตรงนั้น

แต่ว่าถ้าลักษณะของการพิจารณาด้วยปัญญาแบบเขาเรียกว่า...แบบเอาขวานมาเหลาไม้จิ้มฟันน่ะ เพราะนี่มันจะต้องให้เห็นดับไปทั้งโลกธาตุ เข้าใจมั้ย

คือในลักษณะที่ว่าเหมาหมด ดับคือดับ ดับจริง คือไม่มีอะไรเหลือเลย ...นี่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นปัญญาที่ตีเหมารวมหมดทั้งโลก...ด้วยกำลังของสมาธิ

ฉะนั้นว่าของปัญญาวิมุติ มันจะเห็นสองทุกข์...คือขันธ์ที่เป็นทุกขสัจ กับอุปาทานที่เป็นทุกข์อุปาทาน...ที่มันเกาะอยู่กับทุกขสัจ ...เมื่อเราไม่เข้าไปให้ค่าให้ความสำคัญ มันจะเห็นทุกข์อุปาทานดับ 

แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นทุกขสัจดับ ...ตัวมันยังไม่ดับเลย..ธาตุ ใช่มั้ย ไม่ต้องดูจนกว่าตัวมันจะดับ หรือว่าต้องหมายความว่ามันดับ แน่ะ ทุกขสัจก็ต่อเนื่อง 

มันยังไม่หมดเหตุปัจจัยของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ...ธาตุ ๔ มันยังดำรงอยู่ต่อเนื่อง มันก็รู้ว่าต่อเนื่อง ...แต่เราไม่เข้าไปเสวย พอใจ กอดรัดฟัดเหวี่ยง...นี่ อุปาทาน

เห็นมั้ย ถ้ารู้ตัวอย่างนี้ จะเห็นเลยว่าไม่มีทุกข์อุปาทาน ...ไม่มี “เรา” ในตัว ไม่มีตัวใน “เรา” อย่างนี้ ...นี่ แรกๆ จะเห็นอย่างนี้


(ต่อแทร็ก 3/24  ช่วง 4)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น