วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/25 (3)


พระอาจารย์
3/25 (540322A)
22 มีนาคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/25  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  แล้วไม่ต้องกลัวจะไม่เข้าใจกิเลส ... กิเลสมันก็เกิดมาจากตรงนี้แหละ มันก็เกิดมาจากตรงที่รู้ตัวในปัจจุบันนี่แหละ มันก็ออกมาจากปัจจุบันตรงนี้ 

มันจะออกมาจากตรงไหนได้ล่ะ มันมีที่ออกอยู่ที่เดียวน่ะ ...ก็ถ้าเฝ้าอยู่ตรงปัจจุบันนี่ มันจะไม่เห็นได้ยังไง มันจะไม่เข้าใจได้ยังไงว่าอะไรคืออะไร มันก็ออกมาจากจุดนี้ทั้งนั้น

ถ้ารู้อยู่ในที่นี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่แจ้ง จะไม่เกิดการรู้รอบในขันธ์ทั้งปวง ในกิเลสทั้งปวง ทั้งน้อย ใหญ่ หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต จนถึงขั้นไม่มี

ก็อยู่ที่ตรงนี้...ในปัจจุบันธรรมที่อยู่กับปัจจุบันจิตนั่นแหละ อย่ามัวแต่ไปหาอะไรนอกปัจจุบัน...นอกปัจจุบันธรรม นอกปัจจุบันจิต

ใจที่แท้จริงน่ะ ไม่ต้องหา ไม่ต้องทำ ไม่ต้องสร้าง แค่รู้ตัวนั่นแหละ มันก็อยู่ตรงนั้น คู่กันกับขันธ์คือตัว ก้อนๆ ความรู้สึกเป็นมวลนั่นแหละ ไม่ใช่ชาย-หญิง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา

เห็นมั้ย มันเป็นตัว ...ตัวอะไรล่ะ  ตัวอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ...อยู่กับไอ้ตัวอะไรไม่รู้นี้บ่อยๆ น่ะแหละ ไม่ต้องถามว่าจะละสักกาย(สักกายะ) ยังไง ละวิจิกิจฉายังไง ละสีลัพพตปรามาสยังไง

เวลามันขึ้นมา เวลามันสงสัยลังเลอะไรขึ้นมา อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ...กับที่มันจะดึงให้เราออกนอกการรู้ตัวตรงนี้ไป รู้ตรงปัจจุบัน

พอเห็นว่าสงสัยปั๊บ กลับมารู้ตัวเลย กลับมารู้ตรงกาย รู้ตัวในปัจจุบันนี่ซะ ...ก็จะเห็นว่าความสงสัยไม่มีอะไร เป็นอาการหนึ่ง เป็นนามอันหนึ่ง

เห็นมั้ย มันก็เป็นนามอันนึง เป็นความปรุงอันนึง ...แล้วก็ความที่สุดคืออะไร คือความดับไป เป็นไตรลักษณ์ มันตั้งอยู่ไม่ได้

ตั้งอยู่ไม่ได้เพราะอะไร ...เพราะไม่มีตัณหาเป็นตัวหล่อเลี้ยง มันก็ดับ ...ไม่ได้ทำให้มันดับเลยนะ พอไม่ไปตามมันแค่นั้น มันก็ดับ มันอยู่ไม่ได้หรอก

นั่นน่ะขันธ์ ...มันก็เข้าใจขันธ์ตามความเป็นจริงมากขึ้นๆ  แล้วมันจะเข้าใจว่านี่แหละแล้วกูจะไปเอาอะไรกับมัน จะไปยึดไปถือมันเป็นสรณะที่พึ่งยังไง

มันพึ่งไม่ได้ ไปพึ่งขันธ์เป็นอารมณ์ไม่ได้นะ ไปพึ่งขันธ์เป็นสรณะเป็นที่ตั้งไม่ได้นะ พึ่งขันธ์เป็นมรรคเป็นผลไม่ได้นะ ...อาศัยให้เข้าใจขันธ์มันต่างหาก...ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน 

อันนี้ต่างหาก จึงจะเกิดความเข้าใจว่า อ๋อ นอกเหนือจากนี้ไปไม่มีอะไร ...อย่าไปคิดว่ามันมี อย่าไปคิดว่ามันเป็น อย่าไปคิดว่ามันใช่ ...มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ชั่วคราวประเดี๋ยวนึง

พระพุทธเจ้าเปรียบขันธ์เหมือนฟองน้ำ ที่เม็ดน้ำหยดลงมาในบ่อน้ำแล้วก็เป็นฟองผุดขึ้นมา แล้วมันก็แตกสลายไป ...พระพุทธเจ้าท่านบอกนั่นน่ะขันธ์

แต่เนี่ยไปจริงจังกับมันเหลือเกิน เป็นตุเป็นตะ เป็นกอบเป็นกำ เป็นหมายเป็นมั่น เป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นต้องๆๆๆ ให้ได้ๆ ให้มีๆ กับมัน

กลับมา...ลองกลับมารู้ตัวบ่อยๆ สติเท่าทันบ่อยๆ ...แล้วจะเห็นว่าตลอดทั้งชีวิตที่อยู่นี่ ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารเลย  มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ วูบๆ วาบๆ ไหลไปไหลมา

หาความเป็นตัวเป็นตน เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นมั่นเป็นเหมาะไม่ได้สักอย่าง  บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป ไม่มีมารยาท ไร้มารยาท ไม่มีสัมมาคารวะ มาก็ไม่บอกกล่าว ไปก็ไม่ลาไม่ไหว้

ขันธ์ ...เพราะเขาเป็นธรรมดา ปกติของเขาอย่างนี้ เขาไม่มีเจตนาอะไรหรอก ...พอรู้ตัวนี่ ทุกคนนี่เหมือนกันหมด เป็นตัวเดียวกันหมด เป็นรู้อันเดียวกันหมด

ไม่ต้องเถียง...พระพุทธเจ้าบอกใจดวงเดียวกัน ขันธ์ก็คือการปรุงแต่งร่วมกันขึ้นมาเป็นตัว แล้วแต่ตัวนี่จะวูบๆ วาบๆ ออกมาเป็นความคิดความจำความหมายอะไรขึ้นมา

ถ้าเราเท่าทัน...แล้วไม่จับมันมาต่อเนื่องด้วยอำนาจของตัณหา หรือไปหมายมั่นในอดีตอนาคตด้วยอุปาทาน  มันก็จะดับให้เห็นต่อหน้านั่นแหละ

อย่าไปควานหามรรคผลในอดีตอนาคต ปฏิบัติเพื่อสำเร็จในวันข้างหน้า ...เออ มันตั้งสัจจะนี้ไม่รู้กี่ร้อยชาติแล้วแต่ละคนน่ะ ตายอีกเกิดอีกๆ ก็ปฏิบัติเพื่อข้างหน้าจะดีขึ้น

แล้วก็ว่าสะสมบารมีไป เดี๋ยวก็เต็มแล้วก็สำเร็จหรือว่าเกิดปัญญาขึ้นมาเอง ...กลายเป็นว่าปัญญานี่เหมือนข้าวคอยฝน เมื่อไหร่ฝนจะตกแล้วข้าวกูจะออกรวงวะ จะได้กินอิ่ม ขี้ออกสบายท้อง

ปัญญาไม่เกิดนะ ตราบใดที่ยังตั้งอยู่กับอดีต ตั้งความหมายมั่นอยู่กับอนาคต ตั้งอยู่กับว่าทำอันนั้นได้อันนี้ ทำอันนี้ได้อันนั้น ...มันจะไม่เห็นที่สุดของทุกข์

คำว่าที่สุดของทุกข์นี่คือทุกขสัจนะ คือความดับไปเองของทุกสิ่ง ...ไม่ใช่เอามือเอาไม้ เอามีดเอาขวานไปทุบไปถอง ไปฆ่าไปฟันมัน ไปดับมัน ไปทำลายมัน ...อย่างนั้นไม่ใช่ทุกขสัจ

ไอ้อาการที่เข้าไปกระทำนั่นน่ะ ด้วยอุปาทานทั้งสิ้น ...บ้านมีเก้าอี้มีให้นั่งดูนอนดูเฉยๆ ก็ไปเอามือไปป้อง ไปปัด ไปวาดร่ายรำอยู่ท่ามกลางแดดท่ามกลางฝนน่ะ

แล้วก็ว่ากูทำได้ ...บางครั้งกูก็ชนะ บางครั้งกูก็แพ้ บางครั้งกูก็เจริญ บางครั้งกูก็เสื่อม บางครั้งวิธีการนี้มันเจริญได้ตั้งนาน บางครั้งวิธีการนี้ไม่ได้เรื่องเลย

แล้วก็มาหัวเราะไอ้คนนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ...เฮอะ ไม่เห็นได้อะไรเลย โง่ๆๆ กูนี่ฉลาด ...เลยเกิดการแบ่งพวก พวกนึงโง่พวกนึงฉลาด ออกไปวาดลวดลายร่ายรำกันท่ามกลางแสงแดดสายฝน

จนหันมาเหยียบหัวแม่ตีนกัน ชกกัน...เด็กๆ เหมือนเด็กอนุบาลน่ะ เหยียบเงาหัวกัน...มึงอ่ะมาเหยียบเงากู กูก็เหยียบเงามึงคืน ต่างคนต่างเหยียบเงา

ชกกันเอาเป็นเอาตายปากแตกหัวแตก ไปฟ้องแม่ฟ้องพ่อกัน  พ่อแม่มันก็เข้าข้างลูก ย้ายบ้าน ยกสำนักออก ย้ายสำนัก เป็นสำนักตีกันเลยคราวนี้

เอ้า เริ่มต้นจากเด็กอนุบาลมันเหยียบเงาหัวกัน อู้ย มันเป็นเรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตายถึงขั้นนั่นไม่ใช่นิพพาน นี่นิพพานเที่ยง นี่นิพพานไม่เที่ยง ...บ้าป่าววะ

ผลของการออกมาเล่นนอกบ้านจนเหยียบหัวแม่ตีนกัน จนเหยียบเงากัน ด่าพ่อล่อแม่กัน ...คนมีปัญญาก็นั่งอยู่ในบ้านแล้วก็ได้แต่พูดว่า... เฮอะ เฮ่อ ได้แค่เนี้ย เฮ่อ มันเป็นจะอั้นติ

เพราะนั้น สงบ ตั้งมั่น เป็นกลาง ในที่อันเดียวคือปัจจุบัน นี่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ...ก็ไม่รู้ว่ามันมีวิธียังไง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องให้ไปนั่ง หรือยืน หรือเดิน หรือว่ากำหนดภาวนาอะไร

แต่เราบอกว่า สงบ ตั้งมั่นในปัจจุบัน ด้วยจิตที่เป็นกลาง...ไปทำเอาเหอะ ...จะเอาหัวปักดินตีนชี้ฟ้าก็ได้ หรือไปยืนขาเดียวกลางแดดก็ได้ ...ไม่ผิด

ถ้าอยากด่า...ด่าไป ใครจะว่าบ้า...ว่าไป ไม่ผิด ...ถ้ายืนด้วยขาข้างเดียวมือชูขึ้นท้องฟ้า...ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางในปัจจุบัน ...ทำไปเหอะ

หรือจะนอนไม่ลุกเลย ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง สงบ ระงับ ในปัจจุบัน...ทำไปเหอะ ไม่ผิด ...เพราะนี่คือหลักของสัมมาทิฏฐิ ของมัชฌิมาปฏิปทา

เพราะนั้นมันจะปฏิปทายังไงก็ได้ที่เป็นมัชฌิมา มันไม่ได้ขึ้นกับกาล เวลา สถานที่ บุคคล หรืออาการภายนอก

จะเห็นอะไร จะไม่เห็นอะไร จะมีความรู้อะไร ไม่มีความรู้อะไร...ไม่สน รู้อย่างเดียวว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ...เราไม่ให้ความสำคัญเมื่อไหร่ มันดับเหมือนกันหมดน่ะ

สงบก็ดับ ฟุ้งซ่านก็ดับ ดีก็ดับ ไม่ดีก็ดับ  เอาดิ จะเอาอะไร ...สุขก็ดับ ทุกข์ก็ดับ ไม่เห็นมันมีอะไรอยู่น่ะ ...มีอยู่อย่างเดียวคือ มีรู้ กับไอ้ตัวเนี้ย ธาตุนี่ ก้อนนี้ จนตายน่ะ

แล้วแต่ไอ้ก้อนนี้มันจะเสกสรรอะไรออกมาเป็นขันธ์ หยาบ ปานกลาง ละเอียด ประณีต จนถึงไม่มี ...มันก็คือความปรุงแต่งของขันธ์ จะปรุงออกมาเป็นยังไงก็ได้ ตามเหตุปัจจัยที่มันกระทบ

เหมือนก้อนดินน่ะ เหมือนก้อนดินเหนียว ดินน้ำมันนี่ โดนอะไรกระทบแป๊บนี่เปลี่ยนรูปแล้ว แป๊บนี่เปลี่ยนรูปแล้ว เอาดิ ดินมันจะเป็นยังไงก็ได้

เหมือนขันธ์ แล้วก็มีใจ...คนที่ถือก้อนดินนี้อยู่...นี่ จะถือเฉยๆ หรือเปล่า ...ไม่ใช่ว่ารูปนี้ ปั๊บ ไม่สวย ต้องปรับเนี่ยๆๆ ไอ้อย่างนี้ต้องรักษาให้ได้กลมดิ๊กเลย ขันธ์นี้ เนี่ยๆๆ

ดูดิ เห็นมั้ย ไอ้เนี่ยเขาเรียกว่าไปยุ่ง ตัวนี้ไปยุ่งกับขันธ์ จนขันธ์นี่เลือกไม่ได้ ...จะบูดๆ เบี้ยวๆ บิดๆ เป็นแบนเป็นราบอะไร แล้วแต่ขันธ์จะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาทั้งภายในภายนอก

ทั้งกรรมเป็นปัจจัย ทั้งวิบากเป็นปัจจัย ทั้งเหตุปัจจัยภายนอก ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ มาตบมาตี มากระทบมากระเทือน มาเสียดมาสี ...แล้วแต่

มันก็ผลคือวิบาก มันก็แปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยนั้นๆ ...แต่เวลามันแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยนั้นๆ...นี่ๆ ไอ้คนถือก้อนนี้ พอใจมั้ย ไม่พอใจมั้ย อยากมั้ย ไม่อยากมั้ย

เนี่ย...ไอ้ตัวนี้...ดูเอา ...เอาจนว่า หึ...เหรอ หึ...อือ หึ...เออ ก็แค่นั้น ...จบ นั่นน่ะจบ อยากจบมั้ยล่ะ
ไม่ใช่จบด้วยการว่า ฉันทำขึ้นมา จนขันธ์นี่เป็นอย่างที่ฉันต้องการ

ดินก้อนนี้ฉันฉาบทาอย่างดี โค้ดอย่างดี หล่อหลอม แข็งแกร่งเป็นก้อน ไม่มีทางแปรเปลี่ยน แปรปรวน เที่ยง..เที่ยง อมตธาตุ อมตธรรม...คือเที่ยง

เมื่อมันเที่ยงอย่างนี้แล้วกูก็พอใจดิ สบาย  ใจก็ไม่มีความอยากไม่อยาก เพราะเราถือของที่เที่ยง...มันจะเอาอย่างนี้

กับไอ้คนที่ถือแบบ...แล้วแต่เขาจะเมตตาประทาน ...ตีนมาก็บิด ฝนมาก็เปียก แดดมาก็ร้อน นี่แล้วแต่ฟ้าจะประทาน แล้วก็เป็นแค่ผู้ที่ถืออยู่เฉยๆ ธรรมดา อือ มันจะขนาดไหน...ก็ธรรมดา

รู้เปล่าๆ รู้โบ๋เบ๋ รู้แบบอนันตมหาสุญญตา รู้แบบไม่มีเป้าหมาย รู้แบบธาตุรู้ที่เป็นอิสระ...จากการเข้าไปปรุงแต่งหมายมั่นในขันธ์ อวิชชาปัจจยาสังขารา

หยุดสิ้นการไปปัจจยากับสังขาราทั้งปวงทั้งหมดนี่ ...ก็แค่กลับมารู้ตัวนี่ รู้โง่ๆ นี่ รู้แบบไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็นอะไรนี่ รู้แบบไม่มีวิธีการอะไรเลย รู้ได้ตลอดเวลาเลย

อยู่ที่ความขยัน ความเพียรน่ะ รู้แบบไม่ต้องมีข้ออ้างหรือว่าไม่ต้องมีเงื่อนไข ...จะรู้ตรงไหนก็ได้ จนมันต่อเนื่อง รู้นี้ต่อเนื่อง รู้ชัดเห็นชัดอยู่ในปัจจุบัน

นั่นแหละ จะได้ไม่ไปเหยียบหัวแม่ตีนใคร จะได้ไม่ไปเหยียบเงาหัวกันแล้วก็เอาถูกเอาผิดว่านี่เขตฉันน่ะ  นั่นของเธอ นี่ของฉัน

มันมีเธอ มันมีฉัน มันมีเรามีเขาตรงไหนวะเนี่ย ไอ้ตัวกะรู้นี่ ห๊า  ถ้าหาเจอในระหว่างรู้ตัวนี่ว่า "เรา" อยู่ตรงไหน เอามาขึ้นเงินเลย จ่ายให้ ..ถามตัวมันน่ะ ตัวมันบอกว่าของใครรึเปล่า


(ต่อแทร็ก 3/26)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น