พระอาจารย์
3/16 (540122D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 4)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 3/16 ช่วง 3
โยม – แล้วอย่างสมมุติว่าคนภาวนา
แล้วภาวนาจนถึงจิตเขามีปัญญาที่จะแตกหักกับมันโดยที่วิบากเดิมยังไม่หมด
ก็จะทำให้ไม่บรรลุธรรมไหม
พระอาจารย์ – ไม่ต้องกลัวหรอก
ทุกอย่างมันจะหมุนกันเป็นปัจจัยต่อเนื่องของมันเอง กรรมวิบากที่ไหนมันซุก มันซ่อน มันหลบอยู่ในหีบขนาดไหนน่ะ มันเปิดเผยออกมาหมด
โยม – เป็นว่าถล่มทลายมาเลยหรือ
พระอาจารย์ – มันจะเปิดออกมาเลยน่ะ เพื่อทำความหมดไป
โยม – อย่างว่ามีวิบากถึงขั้นจะต้องเสียชีวิตนี่ล่ะคะ
แล้วปัญญาก็กำลังเดิน
พระอาจารย์ – ก็แล้วแต่วิบากนั้น ครุกรรมมันหนักขนาดนั้นรึเปล่า ...ถ้าขนาดนั้นท่านก็ยอมรับ ท่านไม่กลัวหรอก เกิดใหม่รู้ใหม่ ท่านไม่เสียหาย...อริยทรัพย์ท่านมีอยู่แล้ว
โยม – มันก็เหมือนต่อเนื่องอริยทรัพย์นั้น
พระอาจารย์ – อือฮึ
แต่ส่วนมากวิบากขั้นครุกรรมถึงขั้นตาย ในระดับที่เป็นอริยะขึ้นมาแล้วนี่
จะหมดไปตั้งแต่ก่อนเป็นอริยะแล้ว
โยม – หมายถึงตายก่อนที่จะเป็นอริยะ
พระอาจารย์ – คือเสวยกรรมหนักขนาดนั้นน่ะ
ถึงขั้นถึงฆาตถึงชีวิต...เป็นครุกรรมถึงฆาต ท่านจะชดใช้มาตามลำดับลำดาแล้ว
โยม – พอจะเป็นอริยะมันเบาบางแล้ว
พระอาจารย์ – ถ้าเป็นอริยะส่วนมากครุกรรมในขณะถึงหมดตัดรอนมีน้อยมาก ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ คือนอกจากหนักจริงๆ
เอ้า พอแล้ว ไปดูกายเยอะๆ แค่นั้นน่ะ
ไม่ต้องสงสัยเรื่องอื่น ดูที่ความรู้สึกตัว นะ
แล้วมันจะค่อยๆ
แยบคายเข้าไปในเรื่องของนาม ในเรื่องของสิ่งที่มันส่วนเกินของขันธ์ คือความปรุง
ความอยาก ความไม่อยาก อุปาทานความหมายมั่นในอดีตและอนาคต
แล้วมันก็จะค่อยๆ
แยบคายลงไปว่าให้เหลือแต่ขันธ์กับใจล้วนๆ อยู่คู่กัน ...นั่นน่ะคือที่สุดของปัญญา
โยม – พระอาจารย์คะ ถามคำถามสุดท้ายค่ะ ...คือที่ผ่านมาภาวนาดูจิต ดูอะไรไปตามเรื่องตามราว
มันจะมีบางช่วงที่มันจะเห็นอัตตาตัวเองน่ะค่ะ อันนั้นมันตกลงยังไงคะ
พระอาจารย์ – เห็นยังไงก็รู้ยังงั้น
โยม – เห็นอัตตาเช่นเราภูมิใจ โหเราทำนี่ เราภูมิใจ ปุ๊บ นี่มันเห็นอัตตา
พระอาจารย์ – ก็เห็นไป...แล้วมันก็ดับมั้ยล่ะ นี่ เออ พอแล้ว
ไม่ต้องทำอะไร
ทุกอย่างมันมาให้เห็น เพื่อแสดงว่า...กูน่ะมาเพื่อโชว์ให้เห็นว่ากูไม่เคยอยู่ กูมาเพื่อจะให้เห็นว่ากูดับ แค่นั้นเอง ...อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจ หรือไปดีอกดีใจ หรือไปเสียใจ หรือว่าไปหาถูกหาผิดอะไรกับมัน
มันมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า...กูนี่เป็นไตรลักษณ์ หรือว่าสิ่งที่ปรากฏนี่เป็นไตรลักษณ์ แค่นั้นเอง ...ดูในแง่เดียวมุมเดียวแค่นั้น
โยม – อ๋อ คือมันเป็นมุมที่ว่าเราเห็น “ตัวกู”
โผล่ขึ้นมาแล้ว เราก็ละอายใจ
พระอาจารย์ – ดูไปให้เห็นว่ามันดับไปแล้ว
โยม – อ๋อ ...ค่ะ
พระอาจารย์ – เออ มาแล้วก็ดับ นั่นแหละคือที่สุดของมัน
ไม่มีความจริงอะไรนอกเหนือจากนี่หรอก ...ไม่ต้องไปดีใจเสียใจกับมันมากกว่านี้
โยมอีกคน – หลวงพ่อคะ ขอถามคำถาม
พระอาจารย์ – เอ้า ว่ามา
โยม – คือเมื่อวานที่หลวงพ่อให้ไปดูต่อ
ก็ไปดูสภาวะนั้นต่อแล้วเหมือนกับ...คือพอนั่งปุ๊บแล้วมันคือมันเร็วมากที่จะไปเห็นนิมิตเห็นแสงเห็นอะไรนี้น่ะค่ะ
แล้วเหมือนกับมันหนักกว่าเดิมน่ะค่ะ
มันหมุนเหมือนกับที่พระอาจารย์บอก
แล้วแสงสีมันก็เยอะขึ้นน่ะค่ะ แล้วเราก็เห็นอยู่ตลอดค่ะ
แต่บางทีเราเหมือนเข้าไปขลุกอยู่ข้างใน แล้วมันก็หมุนตามไปเลยค่ะ
แล้วมันเหมือนกับไม่ไหวน่ะค่ะ
พระอาจารย์ – เหนื่อย
โยม – เหนื่อยมากน่ะค่ะ
แล้วก็คือตามันเหมือนแบบหลับไม่ลงเลยน่ะค่ะ ตามันปริ๊บๆๆ
แล้วที่พระอาจารย์บอกให้มาดูอยู่ที่ตัวรู้
บางทีก็เหมือนมันวิ่งกลับมาแป๊บนึงแล้วมันก็...
พระอาจารย์ – เข้าไปอีก
โยม – เข้าไปใหม่น่ะค่ะ แล้วก็แบบเหนื่อยมาก ไม่ไหว
คือไม่รู้จะทำยังไง ก็ที่พระอาจารย์บอกให้มารู้ใหม่ ก็คือหายใจเข้าแรงๆ น่ะค่ะ
แล้วมารู้หายใจ คือรู้แป๊บนึงแล้วมันก็เข้าไปสภาวะนั้นใหม่น่ะค่ะ
คือมันเร็วมากน่ะค่ะ คือพอมันนั่งปุ๊บมันก็เห็นภาพเห็นอะไรอย่างนี้ขึ้นมาเลย ...อันนี้คือเป็นสัญญารึเปล่าคะ หรือว่ามันเข้าไปเห็นจริงๆ น่ะค่ะ
พระอาจารย์ – มันเป็นเรื่องของจิตมันปรุงแต่งขึ้นมานั่นแหละ
เป็นนิมิตของจิต ...ช่างมัน จนกว่ามันจะหมดกำลัง ...อดทน
โยม – ที่ปรุงแต่งหมดกำลังหรือคะ
พระอาจารย์ – อือ แล้วมันจะค่อยๆ ระงับของมันไปเอง ...ให้รู้อยู่
พยายามอยู่ที่รู้กับเห็น พยายามเน้นที่รู้กับเห็น ตัวที่เห็นอยู่ นะ
โยม – ก็คือเห็นนานขึ้น แล้วก็เห็นมันพิสดารมากขึ้น
พระอาจารย์ – ไม่ใช่ ...ลักษณะนี้หมายความว่าไม่ได้ไปเน้นอยู่ที่ตัวสิ่งที่ถูกรู้ ...ให้เน้นอยู่ที่ตัวเห็น ให้กลับมาเห็น
ทวนกลับมาที่ตัวเห็น
โยม – ค่ะ
บางทีเหมือนรู้สึกว่าพอรู้ตัวก็จะรู้อยู่แป๊บนึง
แล้วก็วิ่งเข้าไปขลุกใหม่แล้วน่ะค่ะ
พระอาจารย์ – สลับกันไปสลับกันมาอย่างนั้นแหละ
จนกว่ามันจะหมดกำลัง นะ
โยม – คืออันนี้หมดกำลังใช่มั้ยคะ
พระอาจารย์ – อือ พอหมดกำลังแล้วมันจะค่อยๆ คลายออก
โยม – คลาย นี่ก็คือยังไงคะ
พระอาจารย์ – มันน้อยลง
โยม – คือสภาวะมันก็น้อยลงๆ ใช่มั้ยคะ
พระอาจารย์ – อือ
โยม – คือตอนนี้ก็ไม่ได้ไปให้ค่า คือว่าเห็นอาการมันเป็นยังไงก็ดูมันไป
พระอาจารย์ – อือ ใช่ ไม่ห้าม
หรือว่าไม่ได้จงใจกับมันเท่านั้นเอง ...เพราะนั้นว่าพยายามรักษาอยู่ในอาการรู้เห็นอยู่ เป็นปกติกับรู้เห็น
โยม – แล้วคือว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปเพ่งรึเปล่าคะ
พระอาจารย์ – ไม่ต้องกลัวอ่ะ เพราะว่ามันอยู่ในอาการปกติอยู่ มันยังไม่ได้ถึงขั้นตกใจ ดีใจ อะไรมากมาย
โยม – คือแบบว่าบางทีพอเข้าไปขลุกแล้วมันเหนื่อย
ก็เลยรู้สึกว่ามันเหนื่อยมันหนักอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยกลัวว่าจะเพ่งไปรึเปล่า ก็พยายามกลับมารู้ แต่ก็บางทีมันก็ไม่ไหวค่ะ ก็ต้องมารู้ใหม่
แต่ก็รู้แป๊บเดียวแล้วก็ออกไปปนเปกับมันใหม่อ่ะค่ะ
พระอาจารย์ – อือ
โยม – แล้วอย่างรู้กายอ่ะค่ะ
ปกติถ้าเกิดทำอะไรก็รู้ๆๆ ไปน่ะค่ะ คือเหมือนมันไม่ดับ เดินก็คือก็รู้มันขยับๆ
อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ที่พระอาจารย์บอกจุดไม้ขีดอย่างนี้น่ะค่ะ เมื่อวานก็เริ่มเข้าใจแล้ว
คือมันจุดเป็นที่ๆ รับสัมผัสเป็นที่ๆ อ่ะค่ะ แล้วบางทีมันก็เกิดนามขึ้นมา
แล้วก็เห็นนามเป็นคำ แล้วก็แบบว่าเป็นหมอกควันแล้วนามก็หายไป
แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ
แต่คือบางทีมันติดต่อกันไปมาก
พระอาจารย์ – ก็มันมีปัจจัยต่อเนื่อง มันก็มีการที่ปัจจัยต่อเนื่องนั้นอยู่
ก็ดูอยู่ เห็นกับปัจจัยที่ต่อเนื่องตรงนั้น
โยม – คือหนูคิดว่าตัวรู้มันก็น่าจะดับ
แต่เหมือนกับว่ามันก็รู้ เหมือนที่พระอาจารย์พูดเมื่อกี้ คือมันนิ่งๆ เงียบๆ
ก็รู้ๆๆๆ นิ่งๆ ไปอย่างนี้ค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้ดับ...เกิดดับเหมือนที่ผ่านมาน่ะค่ะ
พระอาจารย์ – อือ เพราะเหตุปัจจัยมันต่อเนื่อง มันก็รู้ต่อเนื่อง
นะ เหมือนขันธ์อย่างนี้ ที่เราเห็นจับต้องได้อยู่อย่างนี้ เพราะมันต่อเนื่องอยู่
เข้าใจมั้ย
เหมือนฉีดน้ำขึ้นมาจากสายยางนี่
หัวสายยางนี่มันจะเป็นท่อเดียวใช่มั้ย อยู่อย่างนี้ ...แต่ไอ้ปลายน้ำนี่มันแตกละเอียดลงมาเป็นเม็ดน้ำ
เหมือนกันกับอาการที่บางครั้งเราดูอาการต่อเนื่องของมัน
ที่มันยังมีปัจจัยต่อเนื่องของอาการอยู่ ...มันก็เห็นการต่อเนื่องของมัน
การไหวก็รู้ไหวไป
เห็นอาการไหวต่อเนื่องไป แต่ขณะเดียวกันเดี๋ยวมันก็หยุดก็ดับ
มีอาการอื่นมากระทบเปลี่ยนไปปุ๊บ มันก็กลับไปรู้ที่อื่น
โยม – ค่ะ คือรู้ระหว่างนี้คือเหมือนกับเกิดตรงนี้ก็รู้
แล้วก็ไปรู้ต่อตรงโน้น แล้วก็ไปรู้ต่อตรงนั้น
พระอาจารย์ – ใช่ รู้น่ะตลอด
โยม – ค่ะ คือไม่ใช่ที่เดียว มันก็ปุ๊บ ๆๆๆ
ตาหรืออะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันก็สัมผัสไปเรื่อยๆ อย่างนี้ค่ะ
พระอาจารย์ – รู้น่ะ ให้มันรู้ตลอด แต่ว่าตัวขันธ์น่ะจะไม่ตลอดเดียวกัน
...คือมันจะมีรู้เดียวตลอด แต่ว่าไอ้ตัวขันธ์
น่ะ ไม่เป็นขันธ์เดียวกันตลอด
โยม – ค่ะ มันจะเกิดตรงนี้ ๆ เกิดหูแล้วไปอะไรๆ
อย่างนี้ค่ะ แต่ก็รู้ แล้วพอรู้แล้วมันก็ไปตรงอื่นน่ะค่ะ
พระอาจารย์ – อือๆๆ นั่นน่ะคือความไม่คงอยู่ของขันธ์...ทั้งรูปและนามสลับกัน
เอาแน่เอานอนไม่ได้
ให้เห็นอย่างนั้นน่ะดีแล้ว อยู่ตรงนั้นเป็นพื้นฐานเลย ...ส่วนภายในของใจน่ะ ก็ปล่อยเวลาของมันเอง ที่มันจะฟัดเหวี่ยงของมันไป
โยม – แล้วคือจะมีเห็นสังขารที่หลวงพ่อบอก
ออกจากใจมากขึ้นน่ะค่ะ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า คือพอจะขยับหรืออะไร
เหมือนมันจะมีแรงส่งหรืออะไรอย่างนี้ แล้วค่อยกระทำน่ะค่ะ
แต่ก่อนก็จะเห็นแต่ว่ากายอย่างขยับนี่ แต่ตอนนี้ก็จะเริ่มเห็น บางทีอย่างความคิด
หรือว่าเห็นใจนิดนึงน่ะค่ะ ที่มัน..
พระอาจารย์ – กระเพื่อม
โยม – ค่ะ คือมันจะคิด
พระอาจารย์ – มันจะเห็นก่อนคิดใช่มั้ย ...มันมีอาการก่อนคิด
โยม – ค่ะ เหมือน นิดนึง น่ะค่ะ แล้วจากนั้นแล้วค่อย...อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้วมันค่อยไปคิด แล้วค่อยคุมอีกทีน่ะค่ะ
พระอาจารย์ – อือ ให้สังเกตมันไปเรื่อยๆ
เห็นตัวที่ก่อนมันจะเกิดอะไร...พอแล้ว
โยม – เจ้าค่ะ
กราบขอบคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ
................................