วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/16 (4)


พระอาจารย์
3/16 (540122D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 3/16  ช่วง 3


โยม –  แล้วอย่างสมมุติว่าคนภาวนา แล้วภาวนาจนถึงจิตเขามีปัญญาที่จะแตกหักกับมันโดยที่วิบากเดิมยังไม่หมด ก็จะทำให้ไม่บรรลุธรรมไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกอย่างมันจะหมุนกันเป็นปัจจัยต่อเนื่องของมันเอง  กรรมวิบากที่ไหนมันซุก มันซ่อน มันหลบอยู่ในหีบขนาดไหนน่ะ มันเปิดเผยออกมาหมด    


โยม –  เป็นว่าถล่มทลายมาเลยหรือ   

พระอาจารย์ –  มันจะเปิดออกมาเลยน่ะ เพื่อทำความหมดไป    


โยม –  อย่างว่ามีวิบากถึงขั้นจะต้องเสียชีวิตนี่ล่ะคะ แล้วปัญญาก็กำลังเดิน    

พระอาจารย์ –  ก็แล้วแต่วิบากนั้น ครุกรรมมันหนักขนาดนั้นรึเปล่า ...ถ้าขนาดนั้นท่านก็ยอมรับ ท่านไม่กลัวหรอก เกิดใหม่รู้ใหม่ ท่านไม่เสียหาย...อริยทรัพย์ท่านมีอยู่แล้ว 
     

โยม –  มันก็เหมือนต่อเนื่องอริยทรัพย์นั้น   

พระอาจารย์ –  อือฮึ  แต่ส่วนมากวิบากขั้นครุกรรมถึงขั้นตาย ในระดับที่เป็นอริยะขึ้นมาแล้วนี่ จะหมดไปตั้งแต่ก่อนเป็นอริยะแล้ว  
 

โยม –  หมายถึงตายก่อนที่จะเป็นอริยะ  

พระอาจารย์ –  คือเสวยกรรมหนักขนาดนั้นน่ะ ถึงขั้นถึงฆาตถึงชีวิต...เป็นครุกรรมถึงฆาต  ท่านจะชดใช้มาตามลำดับลำดาแล้ว 


โยม –  พอจะเป็นอริยะมันเบาบางแล้ว  

พระอาจารย์ –  ถ้าเป็นอริยะส่วนมากครุกรรมในขณะถึงหมดตัดรอนมีน้อยมาก ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ คือนอกจากหนักจริงๆ

เอ้า พอแล้ว ไปดูกายเยอะๆ แค่นั้นน่ะ ไม่ต้องสงสัยเรื่องอื่น ดูที่ความรู้สึกตัว นะ

แล้วมันจะค่อยๆ แยบคายเข้าไปในเรื่องของนาม ในเรื่องของสิ่งที่มันส่วนเกินของขันธ์ คือความปรุง ความอยาก ความไม่อยาก อุปาทานความหมายมั่นในอดีตและอนาคต

แล้วมันก็จะค่อยๆ แยบคายลงไปว่าให้เหลือแต่ขันธ์กับใจล้วนๆ อยู่คู่กัน ...นั่นน่ะคือที่สุดของปัญญา  


โยม –  พระอาจารย์คะ ถามคำถามสุดท้ายค่ะ ...คือที่ผ่านมาภาวนาดูจิต ดูอะไรไปตามเรื่องตามราว มันจะมีบางช่วงที่มันจะเห็นอัตตาตัวเองน่ะค่ะ อันนั้นมันตกลงยังไงคะ 

พระอาจารย์ –  เห็นยังไงก็รู้ยังงั้น      


โยม –  เห็นอัตตาเช่นเราภูมิใจ โหเราทำนี่  เราภูมิใจ ปุ๊บ นี่มันเห็นอัตตา  

พระอาจารย์ –  ก็เห็นไป...แล้วมันก็ดับมั้ยล่ะ นี่ เออ พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร

ทุกอย่างมันมาให้เห็น เพื่อแสดงว่า...กูน่ะมาเพื่อโชว์ให้เห็นว่ากูไม่เคยอยู่ กูมาเพื่อจะให้เห็นว่ากูดับ แค่นั้นเอง ...อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจ หรือไปดีอกดีใจ หรือไปเสียใจ หรือว่าไปหาถูกหาผิดอะไรกับมัน

มันมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า...กูนี่เป็นไตรลักษณ์ หรือว่าสิ่งที่ปรากฏนี่เป็นไตรลักษณ์ แค่นั้นเอง ...ดูในแง่เดียวมุมเดียวแค่นั้น    


โยม –  อ๋อ คือมันเป็นมุมที่ว่าเราเห็น “ตัวกู” โผล่ขึ้นมาแล้ว เราก็ละอายใจ    

พระอาจารย์ –  ดูไปให้เห็นว่ามันดับไปแล้ว    


โยม –  อ๋อ ...ค่ะ 

พระอาจารย์ –  เออ มาแล้วก็ดับ นั่นแหละคือที่สุดของมัน ไม่มีความจริงอะไรนอกเหนือจากนี่หรอก ...ไม่ต้องไปดีใจเสียใจกับมันมากกว่านี้  


โยมอีกคน –  หลวงพ่อคะ ขอถามคำถาม

พระอาจารย์ –  เอ้า ว่ามา  
  
โยม –  คือเมื่อวานที่หลวงพ่อให้ไปดูต่อ ก็ไปดูสภาวะนั้นต่อแล้วเหมือนกับ...คือพอนั่งปุ๊บแล้วมันคือมันเร็วมากที่จะไปเห็นนิมิตเห็นแสงเห็นอะไรนี้น่ะค่ะ แล้วเหมือนกับมันหนักกว่าเดิมน่ะค่ะ 

มันหมุนเหมือนกับที่พระอาจารย์บอก แล้วแสงสีมันก็เยอะขึ้นน่ะค่ะ แล้วเราก็เห็นอยู่ตลอดค่ะ แต่บางทีเราเหมือนเข้าไปขลุกอยู่ข้างใน แล้วมันก็หมุนตามไปเลยค่ะ แล้วมันเหมือนกับไม่ไหวน่ะค่ะ   

พระอาจารย์ –  เหนื่อย     


โยม –  เหนื่อยมากน่ะค่ะ แล้วก็คือตามันเหมือนแบบหลับไม่ลงเลยน่ะค่ะ ตามันปริ๊บๆๆ แล้วที่พระอาจารย์บอกให้มาดูอยู่ที่ตัวรู้ บางทีก็เหมือนมันวิ่งกลับมาแป๊บนึงแล้วมันก็...    

พระอาจารย์ –  เข้าไปอีก   


โยม –  เข้าไปใหม่น่ะค่ะ แล้วก็แบบเหนื่อยมาก ไม่ไหว คือไม่รู้จะทำยังไง ก็ที่พระอาจารย์บอกให้มารู้ใหม่ ก็คือหายใจเข้าแรงๆ น่ะค่ะ แล้วมารู้หายใจ คือรู้แป๊บนึงแล้วมันก็เข้าไปสภาวะนั้นใหม่น่ะค่ะ 

คือมันเร็วมากน่ะค่ะ คือพอมันนั่งปุ๊บมันก็เห็นภาพเห็นอะไรอย่างนี้ขึ้นมาเลย ...อันนี้คือเป็นสัญญารึเปล่าคะ หรือว่ามันเข้าไปเห็นจริงๆ น่ะค่ะ    

พระอาจารย์ –  มันเป็นเรื่องของจิตมันปรุงแต่งขึ้นมานั่นแหละ เป็นนิมิตของจิต ...ช่างมัน จนกว่ามันจะหมดกำลัง ...อดทน  


โยม –  ที่ปรุงแต่งหมดกำลังหรือคะ   

พระอาจารย์ –  อือ แล้วมันจะค่อยๆ ระงับของมันไปเอง ...ให้รู้อยู่ พยายามอยู่ที่รู้กับเห็น พยายามเน้นที่รู้กับเห็น ตัวที่เห็นอยู่ นะ     


โยม –  ก็คือเห็นนานขึ้น แล้วก็เห็นมันพิสดารมากขึ้น 

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ ...ลักษณะนี้หมายความว่าไม่ได้ไปเน้นอยู่ที่ตัวสิ่งที่ถูกรู้  ...ให้เน้นอยู่ที่ตัวเห็น ให้กลับมาเห็น ทวนกลับมาที่ตัวเห็น  


โยม –   ค่ะ บางทีเหมือนรู้สึกว่าพอรู้ตัวก็จะรู้อยู่แป๊บนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปขลุกใหม่แล้วน่ะค่ะ 

พระอาจารย์ –  สลับกันไปสลับกันมาอย่างนั้นแหละ จนกว่ามันจะหมดกำลัง นะ     


โยม –  คืออันนี้หมดกำลังใช่มั้ยคะ    

พระอาจารย์ –    อือ พอหมดกำลังแล้วมันจะค่อยๆ คลายออก   


โยม –  คลาย นี่ก็คือยังไงคะ

พระอาจารย์ –  มันน้อยลง     


โยม –  คือสภาวะมันก็น้อยลงๆ ใช่มั้ยคะ     

พระอาจารย์ –  อือ  


โยม –  คือตอนนี้ก็ไม่ได้ไปให้ค่า คือว่าเห็นอาการมันเป็นยังไงก็ดูมันไป 

พระอาจารย์ –  อือ ใช่ ไม่ห้าม หรือว่าไม่ได้จงใจกับมันเท่านั้นเอง ...เพราะนั้นว่าพยายามรักษาอยู่ในอาการรู้เห็นอยู่ เป็นปกติกับรู้เห็น   
 

โยม –  แล้วคือว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปเพ่งรึเปล่าคะ
   
พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัวอ่ะ เพราะว่ามันอยู่ในอาการปกติอยู่  มันยังไม่ได้ถึงขั้นตกใจ ดีใจ อะไรมากมาย     


โยม –  คือแบบว่าบางทีพอเข้าไปขลุกแล้วมันเหนื่อย ก็เลยรู้สึกว่ามันเหนื่อยมันหนักอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยกลัวว่าจะเพ่งไปรึเปล่า ก็พยายามกลับมารู้ แต่ก็บางทีมันก็ไม่ไหวค่ะ ก็ต้องมารู้ใหม่ แต่ก็รู้แป๊บเดียวแล้วก็ออกไปปนเปกับมันใหม่อ่ะค่ะ   

พระอาจารย์ –  อือ   


โยม –  แล้วอย่างรู้กายอ่ะค่ะ ปกติถ้าเกิดทำอะไรก็รู้ๆๆ ไปน่ะค่ะ คือเหมือนมันไม่ดับ เดินก็คือก็รู้มันขยับๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ที่พระอาจารย์บอกจุดไม้ขีดอย่างนี้น่ะค่ะ เมื่อวานก็เริ่มเข้าใจแล้ว 

คือมันจุดเป็นที่ๆ รับสัมผัสเป็นที่ๆ อ่ะค่ะ แล้วบางทีมันก็เกิดนามขึ้นมา แล้วก็เห็นนามเป็นคำ แล้วก็แบบว่าเป็นหมอกควันแล้วนามก็หายไป แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ  แต่คือบางทีมันติดต่อกันไปมาก

พระอาจารย์ –  ก็มันมีปัจจัยต่อเนื่อง มันก็มีการที่ปัจจัยต่อเนื่องนั้นอยู่ ก็ดูอยู่ เห็นกับปัจจัยที่ต่อเนื่องตรงนั้น     


โยม –  คือหนูคิดว่าตัวรู้มันก็น่าจะดับ แต่เหมือนกับว่ามันก็รู้ เหมือนที่พระอาจารย์พูดเมื่อกี้ คือมันนิ่งๆ เงียบๆ ก็รู้ๆๆๆ นิ่งๆ ไปอย่างนี้ค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้ดับ...เกิดดับเหมือนที่ผ่านมาน่ะค่ะ  

พระอาจารย์ –  อือ เพราะเหตุปัจจัยมันต่อเนื่อง มันก็รู้ต่อเนื่อง นะ เหมือนขันธ์อย่างนี้ ที่เราเห็นจับต้องได้อยู่อย่างนี้ เพราะมันต่อเนื่องอยู่ เข้าใจมั้ย

เหมือนฉีดน้ำขึ้นมาจากสายยางนี่ หัวสายยางนี่มันจะเป็นท่อเดียวใช่มั้ย อยู่อย่างนี้ ...แต่ไอ้ปลายน้ำนี่มันแตกละเอียดลงมาเป็นเม็ดน้ำ 

เพราะนั้นขันธ์นี่ที่มันดำรงอยู่อย่างนี้ ที่เราเห็นกันอยู่อย่างนี้ ก็เพราะมันต่อเนื่องเป็นเหมือนน้ำเส้นเดียว ...แต่ในความเป็นเส้นเดียวนี่มันมีรายละเอียดของมันเกิดดับอยู่ทั้งนั้น

เหมือนกันกับอาการที่บางครั้งเราดูอาการต่อเนื่องของมัน ที่มันยังมีปัจจัยต่อเนื่องของอาการอยู่ ...มันก็เห็นการต่อเนื่องของมัน 

การไหวก็รู้ไหวไป เห็นอาการไหวต่อเนื่องไป แต่ขณะเดียวกันเดี๋ยวมันก็หยุดก็ดับ มีอาการอื่นมากระทบเปลี่ยนไปปุ๊บ มันก็กลับไปรู้ที่อื่น  


โยม –  ค่ะ คือรู้ระหว่างนี้คือเหมือนกับเกิดตรงนี้ก็รู้ แล้วก็ไปรู้ต่อตรงโน้น แล้วก็ไปรู้ต่อตรงนั้น

พระอาจารย์ –  ใช่ รู้น่ะตลอด     


โยม –  ค่ะ คือไม่ใช่ที่เดียว มันก็ปุ๊บ ๆๆๆ ตาหรืออะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันก็สัมผัสไปเรื่อยๆ อย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  รู้น่ะ ให้มันรู้ตลอด แต่ว่าตัวขันธ์น่ะจะไม่ตลอดเดียวกัน  ...คือมันจะมีรู้เดียวตลอด แต่ว่าไอ้ตัวขันธ์ น่ะ ไม่เป็นขันธ์เดียวกันตลอด


โยม –  ค่ะ มันจะเกิดตรงนี้ ๆ เกิดหูแล้วไปอะไรๆ อย่างนี้ค่ะ แต่ก็รู้ แล้วพอรู้แล้วมันก็ไปตรงอื่นน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  อือๆๆ นั่นน่ะคือความไม่คงอยู่ของขันธ์...ทั้งรูปและนามสลับกัน เอาแน่เอานอนไม่ได้

ให้เห็นอย่างนั้นน่ะดีแล้ว อยู่ตรงนั้นเป็นพื้นฐานเลย ...ส่วนภายในของใจน่ะ ก็ปล่อยเวลาของมันเอง ที่มันจะฟัดเหวี่ยงของมันไป


โยม –  แล้วคือจะมีเห็นสังขารที่หลวงพ่อบอก ออกจากใจมากขึ้นน่ะค่ะ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า คือพอจะขยับหรืออะไร เหมือนมันจะมีแรงส่งหรืออะไรอย่างนี้ แล้วค่อยกระทำน่ะค่ะ 

แต่ก่อนก็จะเห็นแต่ว่ากายอย่างขยับนี่ แต่ตอนนี้ก็จะเริ่มเห็น บางทีอย่างความคิด หรือว่าเห็นใจนิดนึงน่ะค่ะ ที่มัน..

พระอาจารย์ –  กระเพื่อม


โยม –  ค่ะ คือมันจะคิด

พระอาจารย์ –  มันจะเห็นก่อนคิดใช่มั้ย ...มันมีอาการก่อนคิด


โยม –  ค่ะ เหมือน นิดนึง น่ะค่ะ แล้วจากนั้นแล้วค่อย...อ๋อ อย่างนี้นี่เอง  แล้วมันค่อยไปคิด แล้วค่อยคุมอีกทีน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ให้สังเกตมันไปเรื่อยๆ เห็นตัวที่ก่อนมันจะเกิดอะไร...พอแล้ว


โยม – เจ้าค่ะ กราบขอบคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ


................................



วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/16 (3)


พระอาจารย์
3/16 (540122D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 3/16  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  ทำไมไม่อยู่ด้วยความเป็นปกติหรือสันติ อยู่แค่รู้  สันติ เป็นกลาง ... ศีลปกติ...ทั้งๆ ที่ว่าไม่ได้สมาทานศีลเลยสักข้อ แต่ปกติศีล

รับรู้สัมผัสสัมพันธ์อาการที่ปรากฏ...ทุกความรู้สึก ทุกรูป ทุกเสียง ทุกกลิ่น ทุกรส ...ที่กระทบก็รับรู้ด้วยอาการสันติ มายังไงก็ไปอย่างงั้น

เหมือนบ้านนี่ ที่เปิดประตูไว้ คุณมาแล้วคุณก็ไป ไม่ใช่คุณมาแล้วข้าพเจ้าปิดประตูขัง แล้วคุณต้องอยู่ เข้าใจมั้ย ...นี่เขาเรียกว่าบ้านนี้เป็นสันติ

มาก็คือมา...ไม่ห้าม  ไปก็คือไป...ไม่ห้าม  รักษาบ้านหรือขันธ์นี้ให้เป็นสันติ อายตนะทั้งหมดจะเป็นสันติ ...เพราะมันห้ามไม่ได้ 


โยม –  ถ้าสมมุติมีอกุศลเกิดขึ้นในใจแบบนี้เราก็ไม่ต้องไปห้ามใช่ไหมคะ  

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องห้าม ถ้ามันเกิดเอง ไม่ได้จงใจเจตนาคิดขึ้นมานะ  


โยม –  เกิดขึ้นมาเองหรือ  

พระอาจารย์ –  อือฮึ ก็แค่รู้...รู้โดยสันติ  เหมือนกับลมมาหนาวอย่างนี้ ห้ามได้มั้ย  ลมพัดผ่านกายนี้ ไม่อยากให้มันดับ มันก็ดับเอง  หรืออยากให้มันอยู่นานๆ มันก็ไม่อยู่นาน เห็นมั้ย

ก็รับรู้ในอาการเช่นนี้ เช่นเดียวกัน ด้วยความเป็นกลาง ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา หรือว่าอยู่ในองค์มรรค ...อย่างนี้เรียกว่าการเจริญมรรค

ไม่ใช่เจริญการกระทำด้วยความจงใจ เจตนาเข้าไปละเมิดล่วงเกินในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือว่าเข้าไปเบียดเบียนในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ...แต่รับรู้ด้วยอาการปกติธรรมดา ต่างคนต่างอยู่ 


โยม –  บางทีใจมันรีบผลักไสเอง 

พระอาจารย์ –   ก็ต้องให้ทัน ...ผลักอะไรล่ะ 


โยม –  สมมุติมีอกุศลเกิดขึ้นปุ๊บ ไม่อยากให้คิดอย่างนั้นเลย แล้วเราก็จะเกิดอาการผลักไสปุ๊บ  

พระอาจารย์ –  ให้ทันตรงเจตนา ตรงที่มันมีปฏิกิริยานั้น ตรงนั้นน่ะมันมีการกระทำ ...แต่เราไม่เห็นทันว่าจงใจหรือเจตนา

นี่มันเป็นความเชื่อ เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธหรือเป็นปฏิฆะต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ...เพราะมีราคะต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันจึงมีปฏิฆะต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ 


โยม –  ที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบนั้น ก็คือพอมีอกุศลเกิด ปุ๊บ พอรู้สึกว่า...อุ๊ย ไม่ใช่ ไม่ได้ เราต้องหยุด ... พอหยุดปุ๊บเห็นว่า อุ๊ย เราจะหยุด ...ตกลงจะหยุดหรือไม่หยุดดีอย่างนี้ งงค่ะ

พระอาจารย์ –  พยายามกลับมาอยู่ในฐานะที่รู้ปกติ ... พอเริ่มผิดปกติตรงนั้นน่ะ ให้ทันอาการที่ผิดปกติ มันมีการกระทำเกิดขึ้น แล้วให้ทันตรงนั้น แล้วกลับมาปกติรู้


โยม –  ปกติรู้ ...แต่ความรู้สึกผิดในใจมันขึ้นมา

พระอาจารย์ –  ช่างมัน ...อันนั้นห้ามไม่ได้นะ มันเป็นวิบากที่เคยเชื่ออย่างนั้น เคยให้ความเชื่ออย่างนั้น เคยไปผูกกับความเชื่อเช่นนั้น เข้าใจมั้ย 


โยม –  คือวิบากไม่ได้เกิดจากอกุศลตรงๆ แต่เกิดจากความเชื่อว่าสิ่งนี้มันไม่ถูก

พระอาจารย์ –  ใช่  มันก็ตกค้างอยู่ภายในอย่างนั้นน่ะ มันก็เกิดอาการรับได้บ้าง รับไม่ได้บ้าง ...อดทนกับมัน...จนกว่ามันจะหมด 


โยม –  แล้วถ้าวิบากที่เกิดจากการที่เราเคยทำอกุศลจริงๆ จากความตั้งใจของเรา มันเกิดวิบากว่ารู้สึกผิดๆ แบบนี้เราจะต้องทำยังไง

พระอาจารย์ –  ไม่ทำไงอ่ะ รับไปเลย...รับไปตรงๆ     


โยม –  รับตรงๆ    

พระอาจารย์ –  คือรู้เฉยๆ      


โยม –  คือทนต่อความรู้สึกผิด

พระอาจารย์ –  ใช่ๆๆ   


โยม –  ทรมานยังไงก็ทนกับความรู้สึกผิดไปอย่างนั้น  

พระอาจารย์ –  เป็นหนี้ ต้องใช้น่ะ ...แล้วเอะอะ จะเล่น NPL หรือ จะทำให้หนี้สูญ ...ไม่ได้  เป็นหนี้ต้องใช้  ใช้ยังไง...ใช้ด้วยการทนทุกข์นั่นแหละ    


โยม –  ทนทุกข์กับความรู้สึกผิด 

พระอาจารย์ –  ช่ายยๆ นั่นแหละ ใช้วิบากกรรมไป...ด้วยความสงบ ระงับ ร่มเย็น  เป็นกลาง ...รู้เฉยๆ รู้กับทุกข์เฉยๆ    


โยม –  รู้เฉยๆ รู้ว่ามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วที่ใจ  

พระอาจารย์ –  อือ ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องหนี   


โยม –  อ๋อ ทุกทีจะปัดทิ้ง รีบปัดๆ 

พระอาจารย์ –  ไม่หมดหรอก เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก 


โยม –  สู้เรารู้ ยอมรับแล้วรู้ไป   

พระอาจารย์ –  บอกเลย  ถ้ามันอยากหนีมากก็ให้ถามมันเลย ..."มากกว่านี้มีอีกมั้ย"   


โยม –  หมายถึงทุกข์มากกว่านี้ หรืออกุศลมากกว่านี้ 

พระอาจารย์ –  เออ ให้มันออกมามากกว่านี้มีอีกป่าว แค่นี้น้อยไป   


โยม –  มันก็ท้าทาย 

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องท้าทาย ก็บอกอย่างนี้  มันอยากหนีดีนัก ก็บอกเลย มากกว่านี้เอามาดิ ...อย่าไปกลัวมัน ทนเข้าไป

มันก็แค่นั้นแหละ มันก็เอาแค่หมดนั่นแหละ จนไม่เหลือหลอ จนหมดหนี้หมดสินน่ะ    


โยม –  ถ้าเรายิ่งหนี มันก็...มันก็ไม่จบสักที

พระอาจารย์ –  มันไม่ไปไหนหรอก ...ดูพระโมคคัลลานะ สุดท้ายยังต้องโดนตีจนตาย เห็นมั้ย พระอรหันต์แท้ๆ แต่มีกรรมมีวิบากกับขันธ์นี้ยังไม่หมด หนีไม่พ้น   


โยม –  อย่างพระโมคคัลลานะอย่างนี้ เป็นพระอรหันต์อย่างนี้ แล้วยังมีชีวิตอยู่ แล้วมีวิบากมา แต่พอท่านสิ้นแล้วปุ๊บนี่ มันจะไม่มีการเกิดใช่มั้ยคะ หมายถึงว่ารับวิบากนี่ ขันธ์มันไม่มารวม  

พระอาจารย์ –  จะเข้าสู่อรหันต์ภูมิได้หมด หมายความว่ามีหนี้เสมอตัว จบสิ้นหมดจด  


โยม –  เพราะว่าไม่มีรูปกายออกมารับวิบากหรือคะ 

พระอาจารย์ –  คือมันรับหมดแล้วน่ะ หนี้กรรม หนี้ทั้งหมดนี่มาหมดจบลบ...สุญโญ    


โยม –  อย่างสมมุติว่ากรรมที่ยังมีอีก

พระอาจารย์ –  ไม่มี ...ไม่มีข้างหน้า ไม่มีข้างหลังอีกแล้ว หน้าก็ไม่มีหลังก็ไม่มี  มันหมด...มันหมดตรงนั้นน่ะ   


โยม –  จริงๆ มันมีใช่มั้ยฮะ 

พระอาจารย์ –  ไม่มี ... ถ้ามีอยู่นะ ท่านจะเข้าไปละขันธ์ไม่ได้ 


โยม –  หมายถึงว่ากรรมอดีตที่ผ่านมา มีการชดใช้หมดหรือคะ 

พระอาจารย์ –  ใช่...หมดลงในชาติปัจจุบันนั้น ถึงจะเรียกว่าดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน 


โยม –  หมดเพราะว่าชดใช้ ไม่ใช่หมดเพราะว่าหมดกิเลสหรือคะ

พระอาจารย์ –   ของใคร ... ของพระอรหันต์น่ะ...หมดทั้งชดใช้และก็หมดทั้งกิเลสพร้อมกัน คือไม่มีเป็นหนี้อะไรอีกในโลกนี้...หนี้กรรมไม่มี


โยม –  ถ้าอย่างนี้คนที่ยังมีหนี้กรรม มีตั้งเยอะตั้งแยะอดีตชาติที่ผ่านมา ก็ต้องใช้ให้หมดก่อนถึงจะดับขันธ์ได้

พระอาจารย์ –  ใช่เลยครับท่าน  


โยม –  อย่างนี้ก็หมดแรง 

พระอาจารย์ –   ถ้าคิดน่ะก็หมดแรง แต่ในลักษณะของการที่เราไม่กระทำต่อโดยเจตนา เข้าใจมั้ย ...มีแต่ใช้อย่างเดียว แล้วไม่ต้องกลัวไม่หมดหรอก

นี่ มันจะได้กลัวว่าของใหม่อย่าทำ ขยะของเก่าน่ะอีกเท่าไหร่ รู้มั้ย ...ให้มันหยุดอยู่ในปัจจุบัน 


โยม –  งั้นแสดงว่า ถ้าเกิดว่าเรา..อย่างชาตินี้เราโดนกระทำมากๆ ก็คือรับๆ มาเลย จะได้แบบ..รีบหมดๆ

พระอาจารย์ –  ใช่ ต้องทำใจ บอกแล้ว เบื้องต้นน่ะต้องเป็นผู้แพ้ลูกเดียวเลย มีหนี้ต้องชดใช้น่ะ ...ยอม 

ไปดูพระอรหันต์แต่ละองค์ ไม่มีโรยด้วยกลีบกุหลาบสักกี่องค์หรอก อยู่ด้วยการลำบากลำบน ชดใช้กรรมวิบากมากมายมหาศาล ...ท่านไม่หนี ท่านไม่ท้ออ่ะ ยอมรับหมดโดยไม่มีเงื่อนไข 

ไอ้พวกเราเนี่ย ยังไม่รู้ธรรมเห็นธรรมอะไรสักอย่าง ...คอยตั้งแง่ ตั้งข้อแม้ ตั้งเงื่อนไข ข้ออ้าง หลีกไปเลี่ยงมา หลบๆ เม้มๆ มิบๆ แอบๆ มีเล่ห์มีเหลี่ยมตลอดเวลา

หาช่องทางหลบเร้น รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ไม่กล้าที่จะเผชิญตรงๆ เห็นมั้ย มันกลัวอะไรนักหนา ...ยิ่งกลัวก็ยิ่งเจอ บอกให้เลย 

ก็ถึงบอกว่า "มากกว่านี้มีอีกมั้ย" ...หัดถามซะบ้าง  ไม่ใช่เมื่อไหร่ๆ ก็มีแต่ "ทำไมมันเยอะจังๆ ตายแระ (โยมหัวเราะ) ไม่หมดสักที ตายแระๆ มันช่างเยอะ"

นี่เห็นแค่นี้นะ "ตายแระๆ" ...แล้วไอ้ที่ยังมีตรงนี้นี่ หนีหัวซุกหัวซุนเลย  ...ออกมาแค่นี้ โหย ชักดิ้นชักงอต่อหน้าต่อตา กลัว...ใจมันอ่อน  กลัวตาย กลัวทุกข์

หารู้ไม่ว่า ไอ้พวกนี้คือวิบากที่ต้องชดใช้ทั้งนั้นแหละ  และขณะที่ชดใช้มันจะได้เรียนรู้ให้เกิดปัญญาไปพร้อมกัน ...ไม่ใช่หนีเช้าหนีเย็นๆ หนีอารมณ์อยู่นั่นแหละ

กลัวคนนั้นกลัวคนนี้ ไม่ชอบคนนั้นไม่ชอบคนนี้ หลบเลี่ยง เข้าประตูหน้าออกประตูหลัง กลัวเจอเดี๋ยวมีเรื่อง เจอมันเดี๋ยวไม่พอใจ เดี๋ยวอารมณ์เสีย 

นั่น มันก็ไม่หนีหายไปไหนน่ะ เอาสิ อ่ะ สมมุติคนนี้ไป คนนั้นก็มาใหม่  มันก็เปลี่ยนน่ะ หนีอีก ...ไม่จบหรอก

ก็ทนอยู่กับความอึดอัด กระวนกระวาย คับข้องหมองใจ แก้ไม่ออกพูดไม่ได้ อะไรยังไง รู้เอา เรียนรู้เอา มันจะได้ยกข้ามกรรมนั้นวิบากนั้นไป ...ใจปัญญามันก็ข้ามไปเป็น shot ..shot ไป ชดใช้ไป 

แต่มันจะข้ามได้มันต้องเสวยอ่ะ จะได้เกิดความฉลาดขึ้น เท่าทันขึ้น ...ไปหนีอะไรลมๆ แล้งๆ หนีอาการลมๆ แล้งๆ หนีเอาเป็นเอาตาย หูย เดือดเนื้อร้อนใจ ในการหนีอารมณ์

พยายามสร้างแต่สัปปายะ...ที่ชอบ ทั้งในแง่บุคคลที่เลือกได้ สถานที่ที่เลือกได้ งานที่เลือกได้ เลือกเอาแบบสัปปายะ...ให้มันพอใจ

ทำไมไม่ยอมรับตามจิตสัปปายะ คืออะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ทนให้ได้ ...เป็นการอบรมขัดเกลาจิต ชดใช้กรรมวิบากไปในตัว

พระโมคคัลลานะ...ขนาดเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก ถูกตีจนกระดูกแตกละเอียดทุกท่อน ท่านยังต้องยินยอมเลย


โยม –  คือท่านก็มีเวทนา  
  
พระอาจารย์ –  มี...เต็มๆ  แต่ว่าท่านแค่รู้อยู่  แต่ไม่ใช่ไม่มีเวทนาของความเจ็บปวดเลย มีเท่ากับพวกเราโดนตีแหละ แต่ใจท่านไม่ร้องไห้เลย

แต่เวทนาทางกายนี่รับเท่ากัน ... เป็นเรื่องของเวทนาที่เป็นกรรมวิบากของขันธ์ที่จะต้องชดใช้  
     

(ต่อแทร็ก 3/16  ช่วง 4)