วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/13 (3)


พระอาจารย์
3/13 (540122A)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 3/13  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  ก็เรียกว่าธรรมย่อมคุ้มครองเอง เพราะไม่มีอะไรไม่เป็นธรรม...เป็นธรรมหมด 

แต่ทุกวันนี้พวกเราว่า “ไม่เป็นธรรมเลย ไม่ยุติธรรมเลย ไม่เห็นอย่างที่เราต้องการเลย ไม่เป็นอย่างที่เราอยากได้เลย มันไม่เป็นธรรมนี่”

ไม่เป็นธรรมยังไง ... ทุกอย่างเป็นธรรม ที่ปรากฏอยู่แล้ว เกิดเอง ตั้งเอง ดับเอง ...แต่ใจมันไม่เป็นธรรม ไม่ยอมรับธรรมที่ปรากฏ นั่นต่างหากที่ไปบอกว่ามันไม่เป็นธรรมเลย 

“ทำไมถึงอย่างนี้ ทำไมถึงยังเป็นอย่างนั้น ทำไมเหตุการณ์ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงมาตัดสินอย่างนั้น ทำไมมาพูดว่าอย่างนี้ ไม่เป็นธรรมต่อเราเลย” ...ทั้งๆ ที่ว่ามันเป็นธรรมที่แสดงให้เห็นอยู่แล้ว

กลับมาสังเกต แยบคาย ...แล้วจะเห็นทุกอย่างเป็นธรรมที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากธรรมนี้ ...นี่จึงมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและเป็นธรรมเท่านั้น 

จิตก็อยู่ในภาวะที่เรียกว่า ทรงในอาการปกติธรรมดา ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ไปไม่มา ไม่มีไม่เป็น อยู่ตรงเนี้ย แล้วก็ผ่านไปๆ ใครจะมากก็ได้ ใครจะน้อยก็ได้ เป็นเรื่องของอาการที่ปรากฏ ทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว

ธรรมคืออะไร ...ธรรมคือไตรลักษณ์ คือธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ...นี่ เข้าใจ ใจมันเข้าใจอย่างนั้นแล้วนี่ มันก็อยู่เย็นเป็นสุข 

ไม่ได้อยู่ร้อน กินร้อน นอนร้อน เป็นทุกข์ กังวล ดิ้นรน กระเสือกกระสน ขวนขวาย กระวนกระวาย กลัว รับได้ รับไม่ได้ อะไรพวกนี้

เมื่อเกิดอาการที่รับได้-รับไม่ได้ ก็ต้องแยบคายลงไป ดูลงไป...ทำไมมันถึงรับไม่ได้ ทั้งที่มันเป็นแค่ความเห็นแค่นั้น ...ขันธ์ไม่เคยให้คุณให้โทษอะไรหรอก  มันเป็นแค่อาการหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น 

อยู่ที่เราเข้าไปจับต้องมันต่างหาก ...เราเข้าไปถือครองด้วยความเห็นผิด เข้าไปแบก เอามาเป็นเรื่องเป็นราวของเราเท่านั้นเอง ...มันหนักอยู่ตรงนั้นนะ 

ตัวภาวะขันธ์ไม่ได้หนัก ...แต่มันหนักตรงที่เราไปแบก ไปถือ ไปหวงแหน ไปรักษา ไปจับจอง เข้าไปหมาย เข้าไปมั่น ไปถือเอา

เมื่อแยบคายอย่างนี้แล้ว มันก็จะเข้าไปละความเห็นผิดเหล่านั้น ความเชื่อเช่นนั้น ให้มันจางคลายน้อยลง จนถึงดับไป และระวังไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก 

นั่นแหละ ปัญญามันจะเข้าไปรักษาจิตอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความเห็นตรงขึ้นๆๆ ...จิตมันก็จะเป็นอิสระ ใจดวงนี้ก็จะเป็นอิสระในการรับรู้...ก็รับรู้แบบตรงๆ

ก็แค่มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็รู้เฉยๆ ด้วยความเป็นปกติ ความเป็นธรรมดาก็ปรากฏขึ้น ผลก็ปรากฏขึ้นในปัจจุบันก็คือเป็นอิสระ ต่างอันต่างเป็นอิสระ 

ขันธ์ก็เป็นอิสระในการเกิด ในการตั้งอยู่ และในการดับไปเอง ...ใจก็รับรู้ด้วยความเป็นอิสระ คือรู้เฉยๆ ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย กระเสือกกระสน กระสับกระส่ายใดๆ ทั้งสิ้น 

นี่ ต่างอันต่างจริง แสดงความเป็นจริงทั้งสองฝ่าย ...ถ้าอยู่ในอาการนี้ได้สม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ต้องถามเลยว่าทุกข์จะเกิดขึ้นได้มั้ย ...ไม่มีทาง 

ไม่มีทุกข์เลย ...ทุกข์มีอยู่อย่างเดียวก็คือไอ้อาการที่มันขึ้นๆ ลงๆ ของมันเองน่ะแหละ นั่นแหละคือทุกข์ ทุกขัง อริยสัจจัง ทั้งโลกนี่มีแต่ทุกขัง อริยสัจจัง ...แต่ไม่มี...ทั้งโลกนี่ไม่มีทุกข์อุปาทานเลย 

ทั้งโลกนี่มีเหลือแค่ทุกขัง อริยสัจจัง คือทุกข์เป็นสัจจะ คืออาการทุกอาการที่ปรากฏขึ้น นั่นแหละ ทุกขัง อริยสัจจัง ....เป็นทุกข์ทั้งสิ้นในตัวของมันเอง ในการปรากฏขึ้น

ถ้าปรากฏขึ้นน่ะ ไม่ว่าอะไร จะรู้สึกมีทุกข์ เราให้ค่าว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขก็ตาม อาการที่ปรากฏทุกอาการ นั่นแหละทุกขัง อริยสัจจัง มันเป็นทุกข์อยู่แล้ว

เพราะเมื่อมันปรากฏขึ้น ความคงอยู่ของอาการนั้น มันคงอยู่ไม่ได้ ...นั่นน่ะท่านเรียกว่า มันเป็นทุกข์ในตัวของมันเอง 

ไม่มีใครไปทำให้มันทุกข์ด้วย มันทุกข์โดยตัวของมันเอง ...เพราะมันจะต้องแปรปรวน เพราะมันถูกบีบคั้นในตัวของมันเองที่จะต้องดับไป

มีอะไรไม่ดับ...ไม่มี ในสามโลกธาตุนี้...ไม่มี เพราะนั้นสภาวะธาตุหนึ่งที่ปรากฏ ใจรับรู้ สภาวธรรมหนึ่งที่เป็นนามที่ปรากฏ ใจเข้าไปรับรู้...ไม่มีอะไรไม่ดับ นี่คือภาวะของ ทุกขัง อริยสัจจัง

ยอมรับให้ได้ และให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ในตัวของมันเองอย่างนี้ แล้วเราไม่เข้าไปหมายมั่นในมัน ว่าดี ว่าร้าย ว่าต้องอยู่นะ ต้องดับนะ อันนี้ต่างหากคือทุกข์อุปาทาน อย่าให้มีตัวนี้ ให้เท่าทัน

สุดท้ายก็จะเห็นความเป็นจริง แล้วก็ยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้นๆ ไปตามลำดับลำดา 

จนทุกอาการนี่ไม่สามารถทำให้ใจดวงนี้หวั่นไหว กระเพื่อม เคลื่อน ออกไปหมาย ในอดีตหรืออนาคตของสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงนี้

นี่ถ้าภาษาพระเขาเรียกว่า เห็นไตรลักษณ์หมดทั่ว หมด จบโลกธาตุ  ไม่มีอะไรยืนอยู่นอกเหนือกฎของธรรมชาติ ไตรลักษณ์นี้เลย ...นี่ เรียกว่าปัญญาขั้นสูงสุด

แต่ขณะนี้ ดูสิ ตรวจสอบดูสิ ว่ามันทุกข์ยังไง มันยังทุกข์กับอะไร ทุกข์เพราะอะไร ดูไปเรื่อยๆ สังเกตดูด้วยความแยบคายให้เห็น ...มันทุกข์เพราะมันไม่ยอมรับความจริงที่ปรากฏตรงนี้ 

เพราะมันมีใจอีกดวงนึงที่แยกออกไปเลือกว่า มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ...นี่ต่างหากคือทุกข์อุปาทาน ไม่ยอมเชื่อ มันดื้อ มันอวดดี มันโง่ มันไม่รู้ แต่มันคิดว่ามันรู้

ก็ต้องดัดสันดานมัน ต้องอบรมมัน ด้วยการที่ว่าไม่เชื่อมัน ไม่ตามมันออกไป ในอดีต ในอนาคต 

ถ้าตามมันออกไป พอมันบอกว่า ไม่ยอมรับอาการนี้ จะต้องอย่างนี้นะ  ถ้าไม่ทันซะตั้งแต่ว่า “ต้องอย่างนี้เท่านั้นนะ”  ถ้าปล่อยให้มันต้องอย่างนี้เท่านั้น ปั๊บ มันจะไปสร้างภพรอด้วยการปรุงแต่ง คำนึง คิด

เมื่อยิ่งคิดเข้าไปนี่ มันก็ไปสร้างความเสมือนจริงของภพข้างหน้าไว้รองรับนี่ ให้น่าเหมือน น่าใช่ เป็นรูปลักษณ์ตัวตน เป็นรูปร่าง เป็นที่อยู่ที่อาศัย ที่ต้องได้ ให้ได้ แข็งแกร่งขึ้นมาเรื่อย 

มันยิ่งบีบคั้น กด หนัก ทับใจในปัจจุบัน ให้เป็นทุกข์มากขึ้นๆ ...ทั้งๆ ที่ว่า เหตุจริงๆ น่ะ มันไม่ก่อให้เกิดทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้นเลย มันเป็นทุกข์ในตัวของมันเอง ตรงๆ อยู่แล้ว มีอยู่แค่ทุกขัง อริยสัจจัง

แต่ใจดวงนี้ที่ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง มันเพ้อฝัน มันเพ้อเจ้อ ...มันก็เลยไปเกาะเกี่ยว หาทุกข์ใส่ตัวเองมันน่ะแหละ

เขาด่าเรา เขาพูดแรงๆ มากระทบปุ๊บนี่ อาการที่ปรากฏคือ ทุกขัง อริยสัจจัง คือเสียงปรากฏแล้วกระทบหูปัง มันก็ดับในตัวของมันขณะนั้น ...แต่ทำไมยังอึดอัด คับข้อง เดือดเนื้อร้อนใจ 

อันนี้ไปสังเกตเอาเอง ไปแยบคายดู ว่าทุกข์จริงๆ น่ะมันดับไปแล้ว ตั้งแต่เสียงกระทบหู ปั้บๆๆๆ ดับ นี่ ทุกขัง อริยสัจจัง ดับ ...แต่ทำไมยังเดือดเนื้อร้อนใจ มันอึดอัดคับข้อง สังเกตดู

เพราะคิด เพราะไม่พอใจ เพราะยังจำได้ว่าเขายังด่าอยู่ เพราะไม่ยอม เพราะความรู้สึก เพราะความคาดหมาย พวกนี้ มันมาก่อให้เกิดเป็นทุกข์อุปาทานอย่างไร 

ไปแยบคาย แยกออกจนเห็นว่าในความเป็นจริงมันไม่น่าจะเกิดทุกข์พวกนี้ได้เลยนะ...ถ้าเรารู้เฉยๆ แล้วก็...เออ ก็แค่นั้นแหละ ปั๊บ มันก็ผ่านไป จบ ในขณะเดียวกันที่รับรู้เสียง

แล้วทุกอย่างก็กลับคืนเข้าสู่ความเงียบ ถ้าอยู่ด้วยความเงียบ อยู่กับความเงียบตรงนั้นน่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลยๆ  (หัวเราะ) ...แล้วทุกข์มันยังมาตามหลอกหลอนได้ตรงไหน

หูย แต่ไอ้ทุกข์ตรงนี้มันหลอกหลอนได้ข้ามภพข้ามชาติเลยนะ ด้วยความฝัง ฝังแน่นลงในผืนดิน จารึกลงบัญชีหนังหมาในใจเลยน่ะ ด้วยความจดจำได้ 

หมายมั่นในความจำได้ แล้วเป็นตุเป็นตะ เป็นจริงเป็นจังว่ามันยังคงอยู่ มันยังด่าเราอยู่ ทุกวันนี้มันก็ยังด่าอยู่ มันเชื่ออย่างนั้น ...ทุกข์มันก็ตามข้ามภพข้ามชาติ เผาไหม้ใจข้ามภพข้ามชาติ อยู่ภายใน

แยบคายลงไป สังเกตให้เห็นเหตุที่ให้เกิดทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร เพราะเสียงหรือ หรือเพราะอะไร 

เมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงแล้วน่ะ มันจึงจะเข้าใจ แล้วก็ปลดเงื่อนหรือภาระ หรือโซ่พันธนาการแห่งทุกข์อุปาทานนั้นได้ ตามลำดับ

ต่อไป เคยทุกข์ข้ามเดือน ก็จะเหลือเดือนนึง แล้วก็เหลือเป็นอาทิตย์ แล้วก็เหลือเป็นวัน แล้วก็เหลือเป็นชั่วโมง นาที วินาที จนเหลือแค่ขณะนั้น...ก็ พั่บ...ดับ 

หมดจด เหมือนน้ำกลิ้นบนใบบัวเลย ไม่มากระทบกระเทือนถึงใจ เพราะมันเท่าทัน รู้เหตุให้เกิดทุกข์ทุกอาการ  สุดท้ายก็เหนือ...เหนือทุกข์อุปาทาน ใจดวงนี้ไม่สามารถจะออกไปก่อเป็นทุกข์อุปาทานได้อีก

มันก็เหลืออย่างเดียว ที่ทุกข์ที่ไม่สามารถแก้ได้ ละได้ ดับได้ คือทุกขสัจ ทุกขอริยสัจ ...มีชีวิตอยู่ด้วยการรับรู้ หรือว่ามีทุกข์ก็รู้ทุกข์ เป็นธรรมดา 

มีหูก็ได้ยิน มีตาก็เห็น มีจมูกก็ได้กลิ่น มีลิ้นก็ลิ้มรสไป มีกายก็เย็นร้อนอ่อนแข็งไป นี่ ก็ยอมรับกับทุกขสัจ

ตอนนี้เดินเหินได้แข็งแรง ก็ยอมรับ ต่อไปๆ เดินเหินก็เริ่มไม่แข็งแรง ติดๆ ขัดๆ ก็ยอมรับในทุกขสัจ ต่อไปบอกให้ยกมือ มันก็ไม่ยอมยก ก็ยอมรับ ต่อไปบอกให้ขามันเดิน มันก็เดินไม่ได้ ก็ยอมรับ ทุกขสัจ 

นี่อาการ ยอมรับในทุกอาการ ...เมื่อยอมรับในทุกอาการแล้ว มันไม่ไปหมายว่า ต้องได้นะ ต้องดีตลอดนะ  ต้องไม่เสื่อมนะ ต้องไม่แปรปรวนนะ...ไม่มี มันเข้าใจ

เท่าทันอาการปัจจุบันของขันธ์ แยบคายลงไปในสภาวะขันธ์ที่ปรากฏ ไม่ต้องคิด ดูไป น้อมลงไป ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ เห็นความไม่คงอยู่ เห็นความไม่มีรูปพรรณสัณฐานของมัน

ดูง่ายๆ น่ะ ดูกาย กายวิญญาณ หรือกายเวทนา เย็นร้อนอ่อนแข็ง ความปวด ความเมื่อย ความไหว ความนิ่ง มันเป็นชายเป็นหญิง เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลยังไง 

ดูกี่ครั้งๆ ดูกี่ทีๆ ไม่เห็นว่ามันเป็นอะไรสักอย่าง...อาการทางกายมันชัด เริ่มต้นจากกายนั่นแหละ ง่ายดี จากนั้นไป เรื่องของนาม 

เรื่องของความคิดความจำ ก็ให้เห็นว่ามันเป็นแค่ความคิดกับความจำ มันไม่เป็นอะไรหรอก มันเป็นแค่ความคิดก็ความคิด ความจำก็คือแค่ความจำ 

มันเป็นอะไร มันเป็นเราตรงไหน ของเรายังไง มันมีสัญลักษณ์ signal , sign อันไหนบอกว่าเป็นเรา ในความคิดน่ะ ...มันก็จะไปแยบคายอย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ 

จนดูไปเรื่อย เห็นขันธ์ไปเรื่อย สังเกตไปเรื่อย ตรวจสอบไปเรื่อย หา “เรา” ในขันธ์น่ะไม่เจอเลย ...มันไม่บอกสักแอะนึงว่าเป็น “เรา” มันไม่บอกสักแอะเลย ว่ามันเป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง  

มันเป็นแค่อาการที่ปรากฏของมัน ด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ของเหตุปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้ผูกตายขายขาดความเป็นตัวเป็นตนของมัน

ต่อไปมันก็จะเห็นขันธ์ห้าเหมือนกับลูกไฟในอากาศ วูบๆ วาบๆ แค่นั้นเอง เป็นอะไร ...มันไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่สภาวะธาตุหนึ่ง เป็นแค่สภาวธรรมหนึ่ง

เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว มันจะไม่เห็นเลยน่ะว่าที่นั่งกันอยู่นี่ มันจะมีความแตกต่างกันตรงไหน ...เพราะนั้นที่มันเห็นแตกต่างกันนี่ มันเห็นแค่ภาพ ลูกตามันเห็นเท่านั้นเอง 

แต่ในความเป็นจริง มันก็เป็นแค่อาการเกิด-ดับ สลับต่อเนื่อง 

ถ้ามองไม่ออกว่ารูป นี่คือรูปยังไง ก็หลับตา เห็นมั้ย ไม่มีรูป...รูปดับ ...เพราะนั้นไอ้ที่เราเห็นมันเป็นแค่ภาพสะท้อนของแสงกระทบเทหวัตถุเท่านั้นเอง


(ต่อแทร็ก 3/14)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น