วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/14


พระอาจารย์
3/14 (540122B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554


พระอาจารย์ –   ถ้ายังคงความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งเป็นตัวเป็นตน ไปผูกกับความเชื่อว่าเป็นเรา ของเรา ของท่าน ของใคร  แล้วคิดว่ามันเป็นตัวเป็นตน นั่นแหละคือความไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง ความเห็นก็ไม่เที่ยง

แต่ถ้าเห็นจริง เราวางความเห็นที่ว่ามันเป็นตัวเป็นตนซะ ก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ น่ะ ขันธ์น่ะ...พล้อบแพล้บๆ เดี๋ยวก็โดนแดดก็ละลาย หาย มันไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรหรอก

อย่าไปผูกตายขายขาดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปยึดมั่นถือมั่น ...ไม่งั้นก็จะถูกโซ่ล่ามเป็นพันธนาการ ลากไปลากมา ไม่ยอมให้เป็นอิสระ เห็นมั้ย ถ้าถูกโซ่ล่ามมัดไว้นี่ไปไหนไม่รอดหรอก 

ก็คาอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ ที่ไปเมค (make) ไปเฟค (fake) ขึ้นมาว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นจริงเป็นจัง เป็นสัจจะ เป็นสมมุติสัจจะ ...หารู้ไม่ว่ามันไม่ใช่อริยสัจจะ หรือว่าทุกขอริยสัจจะ แต่ว่ามันเป็นสมมุติสัจจะ

ไปผูกกับสมมุติสัจจะซึ่งมันเป็นอะไรลมๆ แล้งๆ น่ะ ...วันนี้ก็บอกว่าดี พรุ่งนี้ก็อาจจะบอกว่าไม่ดี  ตัวเองก็เอาอะไรแน่ล่ะ แต่ว่าไปผูกกับสิ่งที่มันไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น

เอาโซ่ไปล่ามเข้าไว้เถอะ ตาย โดนแดดเผาตาย ตายแห้งตายเหี่ยวกันไป ...ทุกข์โดยที่ตัวเองไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ในกองทุกข์ ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกทุกข์นั้นเผาไหม้ 

แล้วก็มีแต่ไปเผาไหม้คนอื่น คอยที่จะไปเผาคนอื่น เอาทุกข์นี่ไปโยนให้คนโน้นโยนให้คนนี้ ...อยู่ใกล้รู้สึกมั้ยล่ะว่ามันร้อน เข้าไปใกล้ เข้าไปฟัง เข้าไปเห็นน่ะ รู้สึกเลยมันจะมีไฟกระเด็นมาอยู่ตลอด

 สะเก็ดไฟ สะเก็ดฟืน มันกระจาย ...คนในโลกมันเผาไหม้กันอย่างนี้  เอาทุกข์ตัวเองไปเจือจานผู้อื่น ...ด้วยความเมตตาสงเคราะห์ (โยมหัวเราะ)

ด้วยความสงเคราะห์นะนั่นน่ะ อยากให้เขาถูก อยากให้เขาเชื่อเหมือนเรา อยากให้เขาเป็นเหมือนเราน่ะ ช่วยกัน กระจายกันเข้าไป...ไฟน่ะ ไฟทั้งนั้น 

ไฟมันลามไปทั่วโลกธาตุ ไหม้ข้ามภพ ไหม้จนรูปภพ อรูปภพ กามภพ ...นี่ก็ไหม้ ไฟราคะโทสะโมหะความหลง ความไม่รู้นี่ แจกจ่ายเจือจานแล้วก็บอกว่า สงเคราะห์กันนะเนี่ย 

เมตตานะเนี่ย ไม่รักไม่บอก.. (หัวเราะ).. แต่ถ้ามึงไม่ฟังแล้วกูโกรธนะ ถ้ามึงไม่เชื่อแล้วมึงเลว (โยมหัวเราะ) อะไรอย่างเนี้ย เจือจานด้วยไฟ ...มันไม่ได้ให้น้ำเย็นๆ

แต่ในลักษณะของครูบาอาจารย์ พระอริยะนี่ ท่านแจกไฟ...แต่ว่าเป็นแสงสว่างแห่งปัญญา ...เหมือนกับท่านมีไฟอยู่ดวงนึง มีไฟ 

แล้วทุกคนน่ะมีเทียนอยู่แล้ว กาย ขันธ์ ๕ ใจรู้ อายตนะ ๖ พวกนี้เป็นแท่งเทียน ...แต่มันเป็นเทียนที่มืดบอด เป็นเทียนบ่ดาย เทียนซื่อๆ แท่งๆ ดิบๆ ...มันก็ถือไปถือมา หารู้จักประโยชน์ของเทียนไม่

พระอริยะท่านก็จุดเทียนของท่าน ปรากฏดวงไฟสว่าง ...ท่านก็ไม่ได้เมตตาสงสารสงเคราะห์เจือจานอะไรหรอก ...กูจุดของกู มึงเห็นเองอ่ะ มึงก็มาต่อเอาดิ กูไม่ว่า อะไรอย่างนี้  

เอ้า มาก็มาเอาไฟ เออ เราก็เอาเทียนไปจุดให้ อ่ะ จุดไป ...มันก็สว่าง ไอ้ตอนนั่งฟังน่ะมันสว่าง(โยมหัวเราะ) เพราะมันกำลังจุดเทียนใหม่ๆ มันไม่ได้ไปไหน มันก็อยู่อย่างนี้ 

เออ ...แต่ถ้าได้เดินออกไปนะ เจอลมมันก็ดับ (โยมหัวเราะ) อะไรอย่างนี้ ดับๆๆ ...เอ้า กลับมาใหม่ “อาจารย์ ทำไมเทียนผมดับ” ... เอ้า ก็มึงถือไม่ดี ก็บอกวิธีให้ถือแล้ว 

คราวนี้ก็ต้องบอก อ๋อ ต้องถืออย่างนี้ใช่ไหมครับ ...เอ้าถือไป ก็ถือไป เออ อยู่ได้สักระยะหนึ่ง ...อ้าว มันมาอีแบบนี้อีก เจออย่างนี้อีก ดับอีก มาหาต่อใหม่

ครูบาอาจารย์ก็อยู่อย่างนี้ เทียนท่านไม่ดับ ไม่มีมอด ไม่มีไหม้ คือมันเป็นแสงสว่าง คนก็มาต่อไป ...เอ้า ดับยังไงล่ะ อ๋อ เดี๋ยวบอกวิธีให้ อย่าให้ดับ ...นี่วิธีทำไมมันถึงดับ ดับเพราะอย่างนี้ๆ  

ถือไม่ดีไปคว่ำเทียนเดินได้ยังไง เทียนเขาไว้ตั้ง ดันไปคว่ำ มันก็ดับสิ อะไรอย่างนี้ ...มันมีหลากหลายวิธีที่จะทำให้เทียนดับ เข้าใจมั้ย(โยมหัวเราะ) ...ก็สอนกันไป ก็บอกกันไป อยู่อย่างเนี้ย 

จนมันชำนาญ ...อ๋อ จะมาท่าไหน ต่อให้พายุมาขนาดไหน ลมพัดฝนตกขนาดไหน มันถือเทียนไปได้ เทียนนี้เป็นอมตะน่ะ ...นั่นแหละเขาเรียกว่า อาโลโก จักขุ อุทปาทิ ญาณัง  มันแจ้งๆ

ไฟใดไม่มีสว่างกว่าไฟปัญญา จักขุ อาโลโก อุทปาทิ ญาณัง  จักขุญาณ  เมื่อมันแจ้งถึงขนาดนั้นแล้ว ไม่มีมอด ไม่มีคำว่าดับ ...ดวงตาเห็นธรรม เมื่อนั้นสบาย

นี่ท่านแจกไฟ ท่านแจกอย่างนี้ ท่านแจกแสงสว่าง ...ท่านไม่ใช่ไปโยนไฟราคะโทสะโมหะให้เดือดเนื้อร้อนใจ ...แต่ท่านให้เกิดปัญญา 

เพราะทุกคนน่ะ...อย่างที่บอกว่ามันมีเทียนอยู่แล้ว...จุดให้เป็น  ขันธ์ ๕ มี ใจมี ครบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมี ยกเว้นบางผู้บางคนที่กรรมปิดบังเท่านั้น ...ส่วนพวกเรามีพร้อมอยู่แล้ว แต่จุดให้เป็นแค่นั้นเอง

เพราะนั้นไม่ต้องไปอาศัยเทียนคนอื่น ไม่ต้องอาศัยแสงสว่างคนอื่น เป็นทางส่องนำทางใดๆ ทั้งสิ้นน่ะ  ...จุดให้เป็น ด้วยสติระลึกรู้ เท่าทันอาการของขันธ์ที่ปรากฏ  

ดูแบบไม่ต้องคิดมากน่ะ ไม่ต้องไปลึกลับซับซ้อน ลึกซึ้งหาเหตุหาผลอะไร ...ดูไปตรงๆ น่ะ ไม่เห็นมันบอกอะไรสักอย่าง เงี้ย ดูด้วยความสงบสงัด ระงับ นิ่ง ไม่คาดหมาย ไม่หวังอะไรกับมัน อย่างนี้ อ้อ อย่างนี้

อารมณ์ใดปรากฏก็รู้ไปตรงๆ ไม่คาด ไม่หมาย ไม่หวังอะไรกับมัน รู้เฉยๆ นี่ มันก็แค่นั้นแหละ ...แล้วก็แยบคายไป มันคืออะไร มันก็เป็นก้อนๆ หนึ่ง อะไรก็ไม่รู้ในความเป็นก้อนนั้นน่ะ

ไม่ต้องไปเนมมิ่ง (name) อะไรกับมันมากมายหรอก ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรกับมันหรอก

จะดูกี่ครั้งๆ มันก็เป็นก้อนอยู่ ก็ช่างมัน ดูมันไป มันไม่หนีความเป็นจริงที่มันแสดงหรอก ...สุดท้ายก็แค่นั้นแหละ แล้วก็จะเห็นเองอาการดับไปในตัวของมันเอง 

มันเกิดตรงไหน มันตั้งอยู่ตรงไหน มันก็ดับอยู่ตรงนั้นแหละ ...มันไม่ต้องไปหาที่ดับ ไม่ต้องไปทำให้มันดับ มันจะดับก็เรื่องของมันนั่นแหละ แค่นั้นแหละ

อย่าเบื่อ อย่าท้อ อย่าใจร้อน อย่าใจด่วน อย่าใจเร็ว อย่าทะยานไปข้างหน้า ไปข้างหลัง ไปในอดีต ไปคาดในอนาคต อย่างนี้ ...อดทนไป 

แรกๆ ต้องอดทน...เป็นบาทฐาน เป็นขันติ เป็นตบะ ที่จะแผดเผา ความกลัว ความเกลียด ความรับไม่ได้ ความไม่ยอมรับ ...นี่  มันต้องมีขันติเป็นตบะ ให้รองรับธรรม เพื่อให้เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

ถ้าไม่มีความอดทน อดกลั้น อดทนต่อสภาวะธาตุหรือสภาวธรรมที่ปรากฏ ...มันจะดิ้น หนี เลี่ยง เลือก สร้างขึ้นมาใหม่

เหมือนกับหมอเขามาถามว่า "อาจารย์ ทำไมต้องเดินขึ้นดอย ทำไมเดินบนทางราบไม่ได้รึไง"  

ก็บอก...เดินได้ ทำไมจะเดินไม่ได้ มันก็เหมือนกันน่ะแหละ ...แต่หมอเดินทางราบนี่หมอเดินสักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วหมอก็เมื่อย นิดนึงแล้วหมอก็บอกว่า "ไม่เอาแระ" 

แต่ไปเดินดอยนี่  ชั่วโมงสองชั่วโมงก็เมื่อยเหมือนกันน่ะ แต่ "ไม่เอาแระ" นี่ ลองสิ ลองไม่เอาแระสิ มันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ (โยมหัวเราะ) ...มันไปไหนไม่รอดหรอก 

ยังไงมันก็ต้องดันทุรังถูลู่ถูกัง ไม่ขึ้นก็ต้องลง ไม่ลงก็ต้องขึ้น ยังไงก็ต้องไปสักอย่าง มันหนีไม่ได้น่ะ 

แต่ถ้าอยู่อย่างนี้ ใครว่าแน่ๆ เดินๆ เอาเหอะ ไม่เกินสามชั่วโมงหรอก เมื่อยก็ยังไม่ทันเท่าไหร่ หิวน้ำก็ยังแวะกินน้ำเย็น อะไรก็ยังเลือกได้ ...มันไม่เหมือนกันตรงนี้

แล้วเวลาไปเดินดอยนั้นน่ะ ไม่มีใครช่วยใครได้ ใช่มั้ย เจ็บปวด เวทนา ทุกข์ กังวล ถ้าทุกคนอยู่กับความเป็นจริงของขันธ์ที่ปรากฏ สภาวะขันธ์ที่บีบคั้นหรือแสดงความเป็นทุกขังอริยสัจจังขึ้น 

ปัญญาใครล่ะที่จะเป็นกลางกับมันได้ ...ด้วยปัญญาไหนล่ะ ด้วยอุบายไหนล่ะ หรือว่าเห็นตามความเป็นจริงขนาดไหน เท่าทันตรงไหน

เพราะนั้นถ้าเท่าทันตั้งแต่แรก แค่ขายกก้าวเดิน เวทนาเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับๆ ...ทุกข์มันมีเท่านั้นแหละ เท่าที่มันปรากฏตรงที่ขาก้าวเดิน  

แต่ใครจะสร้างทุกข์ต่อเนื่องล่ะ .. “ตายแล้ว เมื่อไหร่จะถึง ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ ทำไมมันไม่ถึงที่สักที”

เห็นมั้ย ทุกข์เพิ่มขึ้นอีกหลายกองเลย ทุกข์ด้วยโลภะ ทุกข์ด้วยราคะ ทุกข์ด้วยโทสะ ทุกข์ด้วยความมืดมัวไม่รู้เหนือรู้ใต้ มันเผากี่กองไฟล่ะที่รุมล้อม

เพราะนั้นว่าการทรมานขันธ์ในลักษณะที่ไม่ได้จงใจหรือบังคับ แต่มันเป็นโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันจะเป็นความสมดุลกลมกลืนที่ดีอย่างหนึ่ง 

มันเป็นการปฏิบัติ เรียนรู้ขันธ์ ยอมรับขันธ์ตามความเป็นจริงในอีกแง่หนึ่ง

จริงๆ ก็ทำได้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ทำได้ เดินจงกรมเวลาท่านเดินน่ะ ท่านเดินกันข้ามวันข้ามคืน ...แต่ความเพียรของพวกเรามันทำได้มั้ย  

นั่ง..เวลาท่านนั่งก็นั่งข้ามคืนน่ะ เพื่อจะดูซิว่ามันจะยึดอุปาทานเวทนาขนาดไหน ยึดมั่นถือมั่นขนาดไหน อดข้าวอดน้ำ ท่านอดกันเป็นเดือนเป็นวัน หลายอาทิตย์ 

แต่ลักษณะคนที่ใช้ชีวิตด้วยความสะดวกสบาย เลือกได้ ทำได้ แก้ได้ หนีได้ เลี่ยงได้ ...มาอยู่ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ มันจะถูกความปรุงแต่ง ความอยากมาชักนำ 

แล้วมันไม่เท่าทันความอยาก ...พวกนี้จะพาให้มันเลี่ยงทุกข์ หรือว่าขันธ์ที่ปรากฏตามความเป็นจริง 

แต่มาอยู่ในลักษณะแบบที่เอาปากกัดตีนถีบเอาตัวรอดไม่ได้ มันต้องเผชิญต่อขันธ์ ...มันกลับให้ปัญญาได้ในอีกแง่หนึ่ง ...คือ ทำยังไงถึงจะต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่ได้ก็ต้องได้ เรียกร้องหาตัวช่วยไม่ได้

แต่ก็เห็นคนลงดอยมาก็หน้าชื่นแจ่มใสกันนี่


โยม –  ก็ดีนะครับที่ขึ้นไป ที่ท่านบอกทุกขสัจน่ะ ชักจะเริ่มเข้าใจ กำลังดูว่าใจมันจะเบา

พระอาจารย์ –  ใช่ เบาเพราะว่าไม่ถือมันมาเป็นของเรา หรือว่ามาปรุงแต่งว่านั่นเป็นนี่ นี่เป็นนั่น เพิ่มขึ้นมาอีก ในความที่ปรากฏของมัน 

ก็บอกแล้วว่า เวทนาที่จับตรงขาตรงแข้ง มันเป็นอะไรที่เหมือนไฟที่มันจุดขึ้นในความมืดแค่นั้นเอง แล้วก็ดับไปๆๆ 

นี่ไม่มี เดี๋ยวนี้หาสิ จำ...เป็นความจำขึ้นมามันยังไม่มีตัวมีตนที่แท้จริงเลย ...เวทนานั้นๆ น่ะ มันก็ดับไปในเวทนานั้นๆ น่ะ 

มันเป็นบทเรียนภาคสนาม ภาคบังคับ ที่ไม่ใช่มานั่งนึกนั่งคิดว่ามันเป็นยังไง จะไปได้มั้ย หรือไม่ไหวแล้ว  ถ้าคิดไปนะ มันไม่ไปหรอก ถ้าคิดก่อนมันไม่ไป อะไรอย่างนี้


โยม –  เมื่อกี้ท่านพูดว่า เวลาที่ลมเย็นมันพัดมาถูกกาย ท่านบอก มันห้ามไม่ให้เย็นก็ไม่ได้  ก็ไม่เคยคิด 

เราเคยแต่ว่าเมื่อถูกแล้วมันสบายดี ไม่เคยมามองความจริง ว่าเออจริงๆ ไอ้ตัวนี้พอคิดว่ามันห้ามไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ของเรา มันก็รู้สึก มันก็ตัวอะไรสักตัว เมื่อกี้รู้สึกตอนที่ท่านว่า

พระอาจารย์ – นั่นแหละ ถ้าจะเห็นกายไม่เป็นตัวไม่เป็นตน ไม่เป็นสัตว์ไม่เป็นบุคคลชายและหญิงน่ะ ให้มาดูที่ความรู้สึกตัว เออ หาความเป็นเราไม่มีหรอก

แต่ว่าข้อสำคัญคือไม่ใช่เห็นแค่ขณะเดียว ...ให้ต่อเนื่อง ดูบ่อยๆ ดูให้เป็นสัมปชัญญะ  เพราะว่ามันจะเห็นเลย เดี๋ยวก็ไปรู้ที่ขา เดี๋ยวก็ไปอุ่น เดี๋ยวก็ไปเคลื่อน เดี๋ยวก็ไหว

เดี๋ยวก็ไปรู้ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไปรู้ตรงนั้น ...เห็นมั้ย  มันก็จะสลับอยู่อย่างนี้  แล้วมันจะ...อ๋อ กายนี่ไม่เป็นอะไรหรอก


(ต่อแทร็ก 3/15)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น