วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/15 (3)


พระอาจารย์
3/15 (540122C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 3/15  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นขันธ์น่ะเขาแสดงอาการให้เห็นอยู่ตลอด แต่เราไม่ได้สังเกตด้วยความแยบคาย ...มัวแต่ไปดูอะไรอยู่ หาอะไรดูอยู่ ไปเขียนบทบาท วาระ หรือวิถีอะไรให้มันดูอยู่ 

แต่ที่มันมีอยู่แล้วเราไม่ดู ไม่ดูด้วยความแยบคาย ไม่ดูด้วยความจำแนกออกเป็นส่วนๆ ...เห็นมั้ย พอเราพูดอย่างนี้ โยมเห็นมั้ยว่ามันแยกออกเป็นส่วนๆ นะ ไม่ใช่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันแล้ว 

พอบอกว่าเมื่อย ถ้าโยมว่าเมื่อย ปั๊บ ...โยมจะรู้สึกว่ากายนี่เมื่อยเลย  มันจะเชื่อแบบโง่ๆ เลยว่ากายนี้กำลังเมื่อย เห็นมั้ย  

แต่พอเราบอกให้แยบคายลงไป กายไม่เมื่อย เมื่อยเป็นความคิด เมื่อยเป็นแค่จำได้ ...นี่ คนละส่วนกันแล้ว เห็นมั้ย มันแยกออกเป็นชิ้นๆ เลย จำแนกขันธ์ออกเป็นส่วน ...เนี่ยปัญญา

นี่เรียกว่าปัญญา มีปัญญาเห็นขันธ์ตามความเป็นจริง เป็นส่วนๆ เป็นกองๆ สลับกัน สลับกันไปมาระหว่าง รูปบ้างนามบ้างๆ รูปบ้างเวทนาบ้าง รูปบ้างนามบ้างเวทนาบ้าง เห็นมั้ย


โยม   ก็เข้าใจ ...แต่

พระอาจารย์ –  ยังไม่ชัดเจน


โยม –  ยังไม่รู้ว่าอันนี้เป็นนาม มันเห็นแค่แป๊บๆ แต่ไม่รู้เมื่อกี้มันคือนาม และก่อนนั้นเวทนากาย

พระอาจารย์ –  อือ เราพูดพอให้เป็นไกด์ นะ ว่านามมันมีหลายอย่าง มันไม่ใช่มีแค่อะไรที่ปรากฏแล้วเป็นอันเดียวกัน ...ไม่ใช่นะ 

แต่มันไวมากในการต่อเนื่องสลับกันอยู่ในนั้น ในเรื่องราวนั้น ...เช่นบอกว่าเมื่อยปุ๊บนี่ มันมีห้าอย่างเกิดขึ้นแล้ว ดูไปดิ แล้วจะเห็นเลยว่ามันมีห้าอาการในขณะนั้น...เกิดดับสลับกัน

แต่ง่ายๆ แยกกายออกมาก่อน...ให้ชัด  เพราะมันชัดที่สุดแล้ว เย็น ร้อน อ่อน แข็ง  แล้วอีกตัวนึงคือรู้ พอแล้ว...สองอาการ  เอาเป็นสองอาการนี้ก่อน  กายอันหนึ่ง รู้อันหนึ่ง

กายในความหมายนี่ต้องจำไว้นะ ...กายไม่ใช่ที่เรามานึกว่า นั่ง นอน เห็นเดินอะไรอย่างนั้น ไม่ใช่อันนั้น ...อันนั้นเป็นสัญญานะ 

ให้รู้เลยอย่างนั้นเป็นนาม เป็นเรื่องของนามแล้ว เป็นเรื่องของนามธรรมหรือสัญญาขันธ์ สัญญาอาการ หรือว่าสมมุติขึ้นมาเรียก

แต่ให้รู้กายเห็น กายเป็นอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง นี่คือกายคือความรู้สึกตัว...ตรงที่รู้สึกตัว เรียกว่ากาย  

นี่ไหว เห็นไหวมั้ย ดับแล้ว ขยับแล้ว เกิดใหม่แล้ว เห็นมั้ย ว้อบแว้บๆ เห็นอาการว้อบแว้บมั้ย  นั่นน่ะมันเกิดดับ แล้วก็สลับกันระหว่างเมื่อย ตึง เห็นมั้ย ไหว เดี๋ยวก็ตึง เดี๋ยวก็ไหว เดี๋ยวก็ตึง เดี๋ยวก็ไหว อย่างนี้ 

มันมีอยู่ตลอด...แต่เราไม่เห็น ไม่สังเกตดู หือ...ให้มาสังเกตตัวเนี้ย ที่อาการทางกายนี้บ่อยๆ แล้วจะเห็นว่ากายไม่มีตัวไม่มีตนที่แท้จริง ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่คงอยู่ ...มันเปลี่ยน

ดูให้มันต่อเนื่องๆ  พอมันตั้งมั่นชัดเจนอยู่กับกายแล้วนี่ ต่อไปอาการทางนามนี่มันจะไปจำแนกออก ด้วยลักษณะคล้ายๆ กันอย่างนี้ มันก็เห็นแบบเดียวกันกับเห็นกายอย่างนี้แหละ

พอมันจำแนกกายออกจากใจ แล้วไปจำแนกกายออกเป็นส่วนๆ เป็นแค่อาการที่ปรากฏเกิดดับแล้วนี่ อาการทางนามนี่เหมือนกัน

เหมือนโยมเอาน้ำหยดลงไปในกระดาษทิชชู่น่ะ เห็นการกระจายออกมั้ย ที่เราหยดน้ำลงไปมากๆ นี่ ไม่ต้องไปไล่หยดทุกที่หรอก จากที่เดียวนี่แหละ หยดลงไป มันกระจายจนเปียกเต็มแผ่นเอง

อาการของปัญญานี่มันจะขยายออกไปในขันธ์ทั้ง ๕ ของมันเอง ขอให้รู้ในที่เดียวให้แจ้งเหอะ แล้วมันจะแยบคายออกไปในเรื่องของนามทั้งหมด

ก็มันเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น แล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่รู้อยู่เห็นอยู่ คือใจ ...เป็นสองอาการใหญ่ๆ  

ส่วนสิ่งที่รู้อยู่ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีชื่อไม่มีเสียง ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีดีไม่มีร้าย  เห็นมั้ย อุ่นๆ แข็งๆ ตึงๆ มันดีมั้ย มันชั่วมั้ย มันเป็นคุณมั้ย มันเป็นโทษมั้ยในตัวมันน่ะ ...ดูดิ๊  มันมีมั้ย


โยม –  ไม่มีนะคะ เราไปนั่นมันเอง

พระอาจารย์ –  อือ เห็นมั้ย มันเป็นกลาง มันเป็นกลางใช่มั้ย...มันเป็นอะไรบ่ดาย บ่จ้างว่ามันเป็นอะหยัง ไปว่ามันเองดิ ปะเลอะปะเต๋อ เรื่อยเปื่อย กึ๊ดเอง จ้าดง่าว ไอ้จิตจ้าดง่าว จิตไม่รู้ อะไรจริงจังไปหมดเลย

ถ้าเราแยบคายดูไปตรงๆ นี่ นะ ดูไปตรงๆ นะ หาความเป็นชายหญิงยังไม่ได้ สวยตรงไหน อุ่นๆ แข็งๆ ขยับๆ ไหวๆ พล้อบแพล้บๆๆ อย่างนี้ เห็นอาการวูบๆ วาบๆ วูบๆ วาบๆ เนี่ย มันสวยเหรอ หือ ...ไม่มีอ่ะ

แต่มันมาติดแค่รูป แค่นี้เอง มันมาหลงในรูป เข้าใจคำว่าหลงรูปมั้ย คือรูปภาพ มันหลงที่รูปภาพ ทางตานี่ ...หลับตา ไม่เห็นรูปแล้ว รูปดับแล้ว เห็นมั้ย 

มันหลงแค่รูปแค่นั้นเอง แล้วมันจำได้น่ะ มันหลับตามันยังจำได้ มันยังมีความจำได้ว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้ รูปลักษณ์ทรวดทรงอยู่อย่างนี้ ...เป็นความจำ

แต่กายจริงๆ น่ะ เห็นมั้ย เห็นความรู้สึกทางกายมั้ย นั่นน่ะคือกายจริงๆ คือตรงที่รู้ตัวน่ะ ตรงที่รู้สึกที่ตัวน่ะ ...ไม่ใช่เป็นรูปแล้ว ไม่มีรูปภาพแล้ว ไม่มีรูปภาพของกาย มีแต่ความรู้สึกตัว ...นั่นน่ะกายจริงๆ  

แต่ส่วนมากคนนี่มันจะมาหลงรูป หลงในรูปเป็นตุเป็นตะ เป็นจริงเป็นจัง เป็นทรวดเป็นทรง ...แล้วก็จำเอารูปอย่างนี้ จำไว้เป็นสัญญา  

ถ้าโยมไม่เคยเห็นกระจกมาเลยตั้งแต่เกิดนี่ โยมไม่รู้เลยว่าหน้าตาเป็นยังไง จะไม่มีรูปของตัวเองเลยในหัว ไม่เคยถ่ายรูปสักบาน ไม่เคยดูแสงสะท้อนภาพเงาเลย จะไม่รู้เลยว่ารูป หน้าตา เป็นยังไง

เนี่ย พระท่านยังมีวินัยเลย ห้ามดูกระจก ...เพื่ออะไร เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงรูปตัวเองมากเกิน 

แต่โอ้ย ของพวกเรานี่ ไม่ต้องห้ามหรอก ดูมันทุกวัน เช้าก็ดู กลางวันก็ดู เย็นก็ดู ก่อนนอนก็ดู ขี้มันยังดูกระจกเลย (หัวเราะกัน) กระจกในห้องน้ำก็มี ใช่มั้ย

นี่ มันก็เลยติดรูปอยู่อย่างนั้น ติดรูปภาพของตัวเอง สีสันวรรณะของตัวเอง ...มันจะจำ พอคิดขึ้นมาว่าเราปุ๊บนี่มันสร้างรูปขึ้นมาในความคิดเลย ...เป็นสัญญา แล้วไปหมายมั่นว่านั่นเป็นของเรา 

นี่ เดี๋ยวมันค่อยไปแยบคายเอา แยบคายแยกเป็นส่วนๆ นี่จำ นี่คิด นี่ความเห็น คนละส่วนกัน ...จิตมันสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น...ด้วยความไม่รู้ 

แล้วก็จะเห็นความดับไป พั้บๆๆๆ ของมัน แล้วจะเห็นขันธ์ตามความเป็นจริงว่ามีอยู่แค่นี้ อะไรก็ไม่รู้ ...เป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 

ความคิดก็เป็นปรากฏการณ์นึง ความจำได้ก็เป็นแค่ปรากฏการณ์นึง ความรู้สึกสุขทุกข์ก็เป็นแค่ปรากฏการณ์นึง แล้วก็ดับ แล้วมันก็ดับ แล้วมันก็ดับ ...มีเราตรงไหน ของเราตรงไหน

กายก็เป็นแค่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ปรากฏการณ์นึง ...เป็นอะไรล่ะ ทั้งหมดนี่เป็นอะไรดีอ่ะ จะเรียกว่ามันเป็นอะไรดีอ่ะ 

ถ้าใจมันเห็นอย่างนั้นตลอดเวลานะ มันจะไปล้างความเห็นผิด ความเชื่อผิดๆ ว่านั่นเป็นนี่ นี่เป็นนั่น นั่นคือนี่ นั่นผิดนี่ใช่  นี่สวยนี่ไม่สวย

อันนี้เขาเรียกว่าเห็นไปตรงๆ เลย ...ไม่ต้องมาพิจารณาน้อมให้ไปเห็นว่าเป็นอสุภะ ว่ามันไม่สวยอย่างนั้นอย่างนี้เทียบเคียงชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายว่ามันไม่สวย นะ นั่นเป็นอีกวิธีหนึ่ง 

นี่ดูไปตรงๆ นี่มันไม่ได้ว่าทั้งสวยและไม่สวย เห็นมั้ย มันเป็นแค่อะไรก็ไม่รู้ ตั้งอยู่ธรรมดา เป็นกลาง ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น 

มันเป็นอะไร ...ไม่เป็นอะไรหรอก มันเป็นแค่อะไรๆ ก็ไม่รู้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เนี่ย ถ้าพูดภาษาสมมุตินะ ...ขันธ์คืออะไร ขันธ์คืออะไรๆ ก็ไม่รู้ที่มันเกิดแล้วก็ดับ 

ถ้าถอนเอาภาษาสมมุติออกให้หมด มันก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี พูดได้อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่อะไรๆ ก็ไม่รู้ที่กำลังเกิดแล้วเดี๋ยวก็ตั้งแล้วก็ดับ แล้วก็มากขึ้น แล้วก็น้อยลง แล้วก็ดับ

คืออะไร คือของใคร ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ...ถ้าพูดอีกที ไม่มีอะไรเกิด แล้วก็ไม่มีอะไรดับ เพราะตัวมันยังไม่เป็นอะไรเลย

นั่นแหละ มันก็จะเข้าไปเห็นความเป็นจริงของขันธ์เรื่อยๆ ว่า สุดท้าย อะไรล่ะ ...ไม่เป็นอะไร เป็นความว่าง ไม่รู้จะว่ายังไงดี ขันธ์กลายเป็นของว่างไปเสียฉิบเลย 

ท่านดูจนว่างเปล่าน่ะ เห็นเป็นความว่างเปล่า ...ลองดู อยากเห็นกายว่างเปล่า ก็ดูโดยที่ไม่มีคำพูดน่ะ หือ มันเป็นไอ้ใบ้น่ะ อะไรก็ไม่รู้ ผึบๆๆๆ ตึบๆๆๆ ว่างจากความหมายทั้งสิ้น

ไม่ต้องกลัว...ว่าดูกายแล้วจะไม่เกิดปัญญา ...โอ๋ย ดูกายที่เดียว แจ้งทะลุสามโลกธาตุยังได้เลย บอกให้เลย 

บอกแล้วว่าเหมือนกระดาษทิชชู่น่ะ หยดน้ำลงไปเหอะ เอาดิ ต่อให้แผ่นใหญ่ขนาดไหนก็เอาเหอะ กระจายไปหมดน่ะ ไม่ต้องกลัว

มันก็จะเรียนรู้ไปในเรื่องของหยาบ ละเอียดน่ะ  มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด ขันธ์ ๕ นี่เป็นเรื่องเดียวกันหมด อายตนะ ๖ ก็เป็นเรื่องเดียวกันหมด รูปนามก็คือสิ่งเดียวกันหมดแหละ

คืออะไร มันคืออะไร ...ไม่คืออะไร คืออาการที่ปรากฏขึ้นนั่นแหละ มันเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนกัน 

อะไรๆ ที่ปรากฏขึ้นนั่นแหละ ยัดลงถังของไตรลักษณ์หมด ...แล้วก็ดับไป สุดท้ายก็ดับไป ไม่มีอะไรหรอกคงอยู่

แต่สำคัญว่ามันดูไม่ต่อเนื่อง ...ต้องตั้งใจ ตั้งใจแบบสบายๆ เข้าใจมั้ย  ไม่ได้ตั้งใจแบบเครียด เอาจริงเอาจัง เพ่ง เอาให้ได้ ดูให้ได้ ต้องให้เห็น ต้องให้เข้าใจ ...ไม่เอา 

ดูไปง่ายๆ ให้ต่อเนื่อง เรียบๆ ดูแบบราบเรียบ สม่ำเสมอ กลมกลืน ไม่ใช่กระฉึ่กกระฉั่กๆๆ

เคยขับรถรึเปล่า ขับรถเป็นป่ะ เคยแบบประเภทเหยียบคันเร่งแบบตามใจพ่อตาแม่ยายน่ะ ตามอารมณ์ เดี๋ยวก็เร็วเดี๋ยวก็ช้า เหยียบคันเร่งกระฉึ่กกระฉั่ก

กับการที่วางเท้าไปเบาๆ แล้วให้คันเร่งมันไปตามสบายของมัน ลื่น ราบเรียบไป ...อย่าให้มันกระฉึ่กกระฉั่กๆ กินน้ำมัน เครื่องพังยังงั้น

คือสติ ...ถ้ามันต่อเนื่อง มันจะราบเรียบกลมกลืน สบายๆ นุ่มนวล ควรแก่งาน 

ไม่ใช่ใจดีทำ ใจร้ายไม่ทำ โหย วันไหนใจดี กูจะเอาทั้งวันเลย ดูเอาเป็นเอาตายเลย เข้าไปเพ่ง เครียดๆๆ "อย่ามาใกล้กูนะ เดี๋ยวกูโกรธนะ (โยมหัวเราะ) เดี๋ยวจิตกูเสียนะ มึงจะเดือดร้อน" อย่างเนี้ย

ให้มันราบเรียบ สม่ำเสมอ กลมกลืน นี่ เขาเรียกว่าควรแก่งาน ...สติ สมาธิ ปัญญา มันควรแก่งาน มันจะเหนียวแน่น แต่มั่นคง แล้วก็แจ้งชัด  

อย่าไปทำตามกิเลส โลภะ ใจดีทำ ใจร้ายก็... "กูไม่เอาแระ ทำไปก็แค่นั้น เบื่อ...อ" (หัวเราะ)


(ต่อแทร็ก 3/16)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น