วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/16 (4)


พระอาจารย์
3/16 (540122D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 มกราคม 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 3/16  ช่วง 3


โยม –  แล้วอย่างสมมุติว่าคนภาวนา แล้วภาวนาจนถึงจิตเขามีปัญญาที่จะแตกหักกับมันโดยที่วิบากเดิมยังไม่หมด ก็จะทำให้ไม่บรรลุธรรมไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกอย่างมันจะหมุนกันเป็นปัจจัยต่อเนื่องของมันเอง  กรรมวิบากที่ไหนมันซุก มันซ่อน มันหลบอยู่ในหีบขนาดไหนน่ะ มันเปิดเผยออกมาหมด    


โยม –  เป็นว่าถล่มทลายมาเลยหรือ   

พระอาจารย์ –  มันจะเปิดออกมาเลยน่ะ เพื่อทำความหมดไป    


โยม –  อย่างว่ามีวิบากถึงขั้นจะต้องเสียชีวิตนี่ล่ะคะ แล้วปัญญาก็กำลังเดิน    

พระอาจารย์ –  ก็แล้วแต่วิบากนั้น ครุกรรมมันหนักขนาดนั้นรึเปล่า ...ถ้าขนาดนั้นท่านก็ยอมรับ ท่านไม่กลัวหรอก เกิดใหม่รู้ใหม่ ท่านไม่เสียหาย...อริยทรัพย์ท่านมีอยู่แล้ว 
     

โยม –  มันก็เหมือนต่อเนื่องอริยทรัพย์นั้น   

พระอาจารย์ –  อือฮึ  แต่ส่วนมากวิบากขั้นครุกรรมถึงขั้นตาย ในระดับที่เป็นอริยะขึ้นมาแล้วนี่ จะหมดไปตั้งแต่ก่อนเป็นอริยะแล้ว  
 

โยม –  หมายถึงตายก่อนที่จะเป็นอริยะ  

พระอาจารย์ –  คือเสวยกรรมหนักขนาดนั้นน่ะ ถึงขั้นถึงฆาตถึงชีวิต...เป็นครุกรรมถึงฆาต  ท่านจะชดใช้มาตามลำดับลำดาแล้ว 


โยม –  พอจะเป็นอริยะมันเบาบางแล้ว  

พระอาจารย์ –  ถ้าเป็นอริยะส่วนมากครุกรรมในขณะถึงหมดตัดรอนมีน้อยมาก ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ คือนอกจากหนักจริงๆ

เอ้า พอแล้ว ไปดูกายเยอะๆ แค่นั้นน่ะ ไม่ต้องสงสัยเรื่องอื่น ดูที่ความรู้สึกตัว นะ

แล้วมันจะค่อยๆ แยบคายเข้าไปในเรื่องของนาม ในเรื่องของสิ่งที่มันส่วนเกินของขันธ์ คือความปรุง ความอยาก ความไม่อยาก อุปาทานความหมายมั่นในอดีตและอนาคต

แล้วมันก็จะค่อยๆ แยบคายลงไปว่าให้เหลือแต่ขันธ์กับใจล้วนๆ อยู่คู่กัน ...นั่นน่ะคือที่สุดของปัญญา  


โยม –  พระอาจารย์คะ ถามคำถามสุดท้ายค่ะ ...คือที่ผ่านมาภาวนาดูจิต ดูอะไรไปตามเรื่องตามราว มันจะมีบางช่วงที่มันจะเห็นอัตตาตัวเองน่ะค่ะ อันนั้นมันตกลงยังไงคะ 

พระอาจารย์ –  เห็นยังไงก็รู้ยังงั้น      


โยม –  เห็นอัตตาเช่นเราภูมิใจ โหเราทำนี่  เราภูมิใจ ปุ๊บ นี่มันเห็นอัตตา  

พระอาจารย์ –  ก็เห็นไป...แล้วมันก็ดับมั้ยล่ะ นี่ เออ พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไร

ทุกอย่างมันมาให้เห็น เพื่อแสดงว่า...กูน่ะมาเพื่อโชว์ให้เห็นว่ากูไม่เคยอยู่ กูมาเพื่อจะให้เห็นว่ากูดับ แค่นั้นเอง ...อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจ หรือไปดีอกดีใจ หรือไปเสียใจ หรือว่าไปหาถูกหาผิดอะไรกับมัน

มันมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า...กูนี่เป็นไตรลักษณ์ หรือว่าสิ่งที่ปรากฏนี่เป็นไตรลักษณ์ แค่นั้นเอง ...ดูในแง่เดียวมุมเดียวแค่นั้น    


โยม –  อ๋อ คือมันเป็นมุมที่ว่าเราเห็น “ตัวกู” โผล่ขึ้นมาแล้ว เราก็ละอายใจ    

พระอาจารย์ –  ดูไปให้เห็นว่ามันดับไปแล้ว    


โยม –  อ๋อ ...ค่ะ 

พระอาจารย์ –  เออ มาแล้วก็ดับ นั่นแหละคือที่สุดของมัน ไม่มีความจริงอะไรนอกเหนือจากนี่หรอก ...ไม่ต้องไปดีใจเสียใจกับมันมากกว่านี้  


โยมอีกคน –  หลวงพ่อคะ ขอถามคำถาม

พระอาจารย์ –  เอ้า ว่ามา  
  
โยม –  คือเมื่อวานที่หลวงพ่อให้ไปดูต่อ ก็ไปดูสภาวะนั้นต่อแล้วเหมือนกับ...คือพอนั่งปุ๊บแล้วมันคือมันเร็วมากที่จะไปเห็นนิมิตเห็นแสงเห็นอะไรนี้น่ะค่ะ แล้วเหมือนกับมันหนักกว่าเดิมน่ะค่ะ 

มันหมุนเหมือนกับที่พระอาจารย์บอก แล้วแสงสีมันก็เยอะขึ้นน่ะค่ะ แล้วเราก็เห็นอยู่ตลอดค่ะ แต่บางทีเราเหมือนเข้าไปขลุกอยู่ข้างใน แล้วมันก็หมุนตามไปเลยค่ะ แล้วมันเหมือนกับไม่ไหวน่ะค่ะ   

พระอาจารย์ –  เหนื่อย     


โยม –  เหนื่อยมากน่ะค่ะ แล้วก็คือตามันเหมือนแบบหลับไม่ลงเลยน่ะค่ะ ตามันปริ๊บๆๆ แล้วที่พระอาจารย์บอกให้มาดูอยู่ที่ตัวรู้ บางทีก็เหมือนมันวิ่งกลับมาแป๊บนึงแล้วมันก็...    

พระอาจารย์ –  เข้าไปอีก   


โยม –  เข้าไปใหม่น่ะค่ะ แล้วก็แบบเหนื่อยมาก ไม่ไหว คือไม่รู้จะทำยังไง ก็ที่พระอาจารย์บอกให้มารู้ใหม่ ก็คือหายใจเข้าแรงๆ น่ะค่ะ แล้วมารู้หายใจ คือรู้แป๊บนึงแล้วมันก็เข้าไปสภาวะนั้นใหม่น่ะค่ะ 

คือมันเร็วมากน่ะค่ะ คือพอมันนั่งปุ๊บมันก็เห็นภาพเห็นอะไรอย่างนี้ขึ้นมาเลย ...อันนี้คือเป็นสัญญารึเปล่าคะ หรือว่ามันเข้าไปเห็นจริงๆ น่ะค่ะ    

พระอาจารย์ –  มันเป็นเรื่องของจิตมันปรุงแต่งขึ้นมานั่นแหละ เป็นนิมิตของจิต ...ช่างมัน จนกว่ามันจะหมดกำลัง ...อดทน  


โยม –  ที่ปรุงแต่งหมดกำลังหรือคะ   

พระอาจารย์ –  อือ แล้วมันจะค่อยๆ ระงับของมันไปเอง ...ให้รู้อยู่ พยายามอยู่ที่รู้กับเห็น พยายามเน้นที่รู้กับเห็น ตัวที่เห็นอยู่ นะ     


โยม –  ก็คือเห็นนานขึ้น แล้วก็เห็นมันพิสดารมากขึ้น 

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ ...ลักษณะนี้หมายความว่าไม่ได้ไปเน้นอยู่ที่ตัวสิ่งที่ถูกรู้  ...ให้เน้นอยู่ที่ตัวเห็น ให้กลับมาเห็น ทวนกลับมาที่ตัวเห็น  


โยม –   ค่ะ บางทีเหมือนรู้สึกว่าพอรู้ตัวก็จะรู้อยู่แป๊บนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปขลุกใหม่แล้วน่ะค่ะ 

พระอาจารย์ –  สลับกันไปสลับกันมาอย่างนั้นแหละ จนกว่ามันจะหมดกำลัง นะ     


โยม –  คืออันนี้หมดกำลังใช่มั้ยคะ    

พระอาจารย์ –    อือ พอหมดกำลังแล้วมันจะค่อยๆ คลายออก   


โยม –  คลาย นี่ก็คือยังไงคะ

พระอาจารย์ –  มันน้อยลง     


โยม –  คือสภาวะมันก็น้อยลงๆ ใช่มั้ยคะ     

พระอาจารย์ –  อือ  


โยม –  คือตอนนี้ก็ไม่ได้ไปให้ค่า คือว่าเห็นอาการมันเป็นยังไงก็ดูมันไป 

พระอาจารย์ –  อือ ใช่ ไม่ห้าม หรือว่าไม่ได้จงใจกับมันเท่านั้นเอง ...เพราะนั้นว่าพยายามรักษาอยู่ในอาการรู้เห็นอยู่ เป็นปกติกับรู้เห็น   
 

โยม –  แล้วคือว่าหนูกลัวว่าหนูจะไปเพ่งรึเปล่าคะ
   
พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัวอ่ะ เพราะว่ามันอยู่ในอาการปกติอยู่  มันยังไม่ได้ถึงขั้นตกใจ ดีใจ อะไรมากมาย     


โยม –  คือแบบว่าบางทีพอเข้าไปขลุกแล้วมันเหนื่อย ก็เลยรู้สึกว่ามันเหนื่อยมันหนักอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยกลัวว่าจะเพ่งไปรึเปล่า ก็พยายามกลับมารู้ แต่ก็บางทีมันก็ไม่ไหวค่ะ ก็ต้องมารู้ใหม่ แต่ก็รู้แป๊บเดียวแล้วก็ออกไปปนเปกับมันใหม่อ่ะค่ะ   

พระอาจารย์ –  อือ   


โยม –  แล้วอย่างรู้กายอ่ะค่ะ ปกติถ้าเกิดทำอะไรก็รู้ๆๆ ไปน่ะค่ะ คือเหมือนมันไม่ดับ เดินก็คือก็รู้มันขยับๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ที่พระอาจารย์บอกจุดไม้ขีดอย่างนี้น่ะค่ะ เมื่อวานก็เริ่มเข้าใจแล้ว 

คือมันจุดเป็นที่ๆ รับสัมผัสเป็นที่ๆ อ่ะค่ะ แล้วบางทีมันก็เกิดนามขึ้นมา แล้วก็เห็นนามเป็นคำ แล้วก็แบบว่าเป็นหมอกควันแล้วนามก็หายไป แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ  แต่คือบางทีมันติดต่อกันไปมาก

พระอาจารย์ –  ก็มันมีปัจจัยต่อเนื่อง มันก็มีการที่ปัจจัยต่อเนื่องนั้นอยู่ ก็ดูอยู่ เห็นกับปัจจัยที่ต่อเนื่องตรงนั้น     


โยม –  คือหนูคิดว่าตัวรู้มันก็น่าจะดับ แต่เหมือนกับว่ามันก็รู้ เหมือนที่พระอาจารย์พูดเมื่อกี้ คือมันนิ่งๆ เงียบๆ ก็รู้ๆๆๆ นิ่งๆ ไปอย่างนี้ค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้ดับ...เกิดดับเหมือนที่ผ่านมาน่ะค่ะ  

พระอาจารย์ –  อือ เพราะเหตุปัจจัยมันต่อเนื่อง มันก็รู้ต่อเนื่อง นะ เหมือนขันธ์อย่างนี้ ที่เราเห็นจับต้องได้อยู่อย่างนี้ เพราะมันต่อเนื่องอยู่ เข้าใจมั้ย

เหมือนฉีดน้ำขึ้นมาจากสายยางนี่ หัวสายยางนี่มันจะเป็นท่อเดียวใช่มั้ย อยู่อย่างนี้ ...แต่ไอ้ปลายน้ำนี่มันแตกละเอียดลงมาเป็นเม็ดน้ำ 

เพราะนั้นขันธ์นี่ที่มันดำรงอยู่อย่างนี้ ที่เราเห็นกันอยู่อย่างนี้ ก็เพราะมันต่อเนื่องเป็นเหมือนน้ำเส้นเดียว ...แต่ในความเป็นเส้นเดียวนี่มันมีรายละเอียดของมันเกิดดับอยู่ทั้งนั้น

เหมือนกันกับอาการที่บางครั้งเราดูอาการต่อเนื่องของมัน ที่มันยังมีปัจจัยต่อเนื่องของอาการอยู่ ...มันก็เห็นการต่อเนื่องของมัน 

การไหวก็รู้ไหวไป เห็นอาการไหวต่อเนื่องไป แต่ขณะเดียวกันเดี๋ยวมันก็หยุดก็ดับ มีอาการอื่นมากระทบเปลี่ยนไปปุ๊บ มันก็กลับไปรู้ที่อื่น  


โยม –  ค่ะ คือรู้ระหว่างนี้คือเหมือนกับเกิดตรงนี้ก็รู้ แล้วก็ไปรู้ต่อตรงโน้น แล้วก็ไปรู้ต่อตรงนั้น

พระอาจารย์ –  ใช่ รู้น่ะตลอด     


โยม –  ค่ะ คือไม่ใช่ที่เดียว มันก็ปุ๊บ ๆๆๆ ตาหรืออะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันก็สัมผัสไปเรื่อยๆ อย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  รู้น่ะ ให้มันรู้ตลอด แต่ว่าตัวขันธ์น่ะจะไม่ตลอดเดียวกัน  ...คือมันจะมีรู้เดียวตลอด แต่ว่าไอ้ตัวขันธ์ น่ะ ไม่เป็นขันธ์เดียวกันตลอด


โยม –  ค่ะ มันจะเกิดตรงนี้ ๆ เกิดหูแล้วไปอะไรๆ อย่างนี้ค่ะ แต่ก็รู้ แล้วพอรู้แล้วมันก็ไปตรงอื่นน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  อือๆๆ นั่นน่ะคือความไม่คงอยู่ของขันธ์...ทั้งรูปและนามสลับกัน เอาแน่เอานอนไม่ได้

ให้เห็นอย่างนั้นน่ะดีแล้ว อยู่ตรงนั้นเป็นพื้นฐานเลย ...ส่วนภายในของใจน่ะ ก็ปล่อยเวลาของมันเอง ที่มันจะฟัดเหวี่ยงของมันไป


โยม –  แล้วคือจะมีเห็นสังขารที่หลวงพ่อบอก ออกจากใจมากขึ้นน่ะค่ะ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า คือพอจะขยับหรืออะไร เหมือนมันจะมีแรงส่งหรืออะไรอย่างนี้ แล้วค่อยกระทำน่ะค่ะ 

แต่ก่อนก็จะเห็นแต่ว่ากายอย่างขยับนี่ แต่ตอนนี้ก็จะเริ่มเห็น บางทีอย่างความคิด หรือว่าเห็นใจนิดนึงน่ะค่ะ ที่มัน..

พระอาจารย์ –  กระเพื่อม


โยม –  ค่ะ คือมันจะคิด

พระอาจารย์ –  มันจะเห็นก่อนคิดใช่มั้ย ...มันมีอาการก่อนคิด


โยม –  ค่ะ เหมือน นิดนึง น่ะค่ะ แล้วจากนั้นแล้วค่อย...อ๋อ อย่างนี้นี่เอง  แล้วมันค่อยไปคิด แล้วค่อยคุมอีกทีน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ให้สังเกตมันไปเรื่อยๆ เห็นตัวที่ก่อนมันจะเกิดอะไร...พอแล้ว


โยม – เจ้าค่ะ กราบขอบคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ


................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น