วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/24 (1)



พระอาจารย์
3/24 (540319)
19 มีนาคม 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  4  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  รู้ตัว ...ตรงที่รู้ตัวตรงนี้ ให้ดู มีอะไรมั้ย...ไม่มีอะไรหรอก  อารมณ์ก็ไม่มี  “เรา” ก็ไม่มี  ชื่อก็ไม่มี ชายก็ไม่มี หญิงก็ไม่มี ...มีแต่ตัวกับรู้ เห็นมั้ย เหมือนคนตายมั้ย เหมือนคนตายแล้ว

เวลาเราตายจริงๆ น่ะ เหมือนอย่างนี้...ไม่มีอะไรหรอก ธรรมก็ไม่มี ความคิดก็ไม่มี ที่หมายที่มั่นก็ไม่มี ...เนี่ย กลับมาตายบ่อยๆ ตายอยู่กับปัจจุบัน

หลวงปู่นี่ เป็นเจ้าแห่ง มรณัง เม ภวิสสติ ...รู้จักรึเปล่า คือเจริญภาวนาด้วยมรณานุสติกรรมฐาน มรณัง เม ภวิสสติ ภาวนาถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

แม้แต่พระพุทธเจ้ายังถามพระอานนท์ “อานนท์ นึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง” พระอานนท์บอกว่า “วันละหลายร้อยครั้ง” พระพุทธเจ้ายังบอก “ประมาท ยังประมาทอยู่นะนี่ ต้องให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก”

อย่างเราฟังหลวงปู่มา เราก็พิจารณาความตาย ...ยังไงก็ไม่เห็นความตาย พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ก็ไม่เคยกลัวตาย ก็ไม่ได้เศร้าสลดสังเวชอะไร

มันก็เป็นแค่ความคิดไปคิดมา คิดๆๆ คิดให้ตัวเราถูกเผา ตัวเราแก่ แล้วก็ตาย แล้วก็ไหม้  คิดแล้วคิดอีก มันก็ไม่กลัว ...เราก็เลยเข้าใจว่า ไม่ถูกธาตุถูกขันธ์กับการพิจารณาความตาย

พอมาเจริญสติในปัจจุบัน...เออ เฮ้ย ตอนที่มันรู้ตัวอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย  ดูไปดูมา มันเหมือนคนตายเลยว่ะ เนี่ย เหมือนคนตายน่ะ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี

อารมณ์ไม่มี ที่หมายที่มั่นไม่มี จะไปไหนก็ไม่รู้ ตัวก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีแต่รู้ตัว รู้กับตัว ความรู้ก็ไม่มี ความคิดก็ไม่มี อารมณ์ก็ไม่มี ...เหมือนคนตายแล้วน่ะ 


โยม –  มันไม่มีการให้ค่า

พระอาจารย์ –  ไม่มีอะไรทั้งนั้นน่ะในปัจจุบันนี่เลย  เราถึงเข้าใจว่า...นี่ ถ้าจะเข้าถึง มรณัง เม ภวิสติ  ทุกลมหายใจ คือต้องเข้าด้วยสติในปัจจุบัน

จึงจะเห็นว่าตัวนี่คือซากศพ รู้น่ะคือใจ ไอ้ตัวนี่คือก้อนอะไรก็ไม่รู้ เหมือนศพ...แต่ว่ามันเป็นศพคนเป็น ไอ้ตอนตายน่ะศพคนตาย ...มันศพเดียวกันนี่แหละ

แต่พอมันไม่กลับมาหยุดอยู่ในปัจจุบัน มันมีอะไร ...มันมีแต่ความอยาก อดีต อนาคต จะหาให้ได้ จะมีให้ได้ ไม่มีในธรรมก็มีในโลก


โยม –  คือบางทีความอยากที่ว่านี่ มันเบาบางจนเราไม่เห็นว่ามันเป็นความอยาก มันเป็นแค่ความคิดในเรื่องราวอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

พระอาจารย์ –  กิเลสมีขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ขั้นประณีต จนถึงขั้นไม่มี ...สติปัญญาก็มีขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ขั้นประณีต จนถึงขั้นไม่มี

อย่าเบื่อ อย่าท้อ ...เมื่อเราเท่าทันความอยากหยาบๆ มันก็สร้างความอยากละเอียด  เดี๋ยวพอเราเท่าทันความอยากละเอียด มันก็สร้างความอยากประณีต

เดี๋ยวมันก็สร้างเวทนานั้น เวทนานี้...ว่าง เบา เวิ้งว้าง เป็นอันเดียวกันหมด “โอ ใช่เลย ใจเลยอ่ะ ใจเลยๆ ใจกูเป็น ใจเราเป็นแล้ว” ...ปล่อยเลย เข้าไปกลืนเลย

เนี่ย อยาก..แต่ไม่เห็นว่าอยาก  มี...แต่ไม่รู้ว่าเข้าไปมี  มีเรา...แต่ไม่รู้ว่าเป็นเราตรงไหน ...ถึงขั้นนี้นะ ไอ้อยากไปกิน อยากไปเที่ยวนี่ อู๊ย ชัด ไม่มีได้กินกูหรอก กูเห็นหมด ...แต่กูสบาย ไม่มีอะไร อย่างนี้

พอมาเท่าทัน...อ่ะ ว่าง ...อู้หูย ไม่มีเลยกิเลสสักตัว จิตกูว่างแล้ว จิตกูเวิ้งว้าง เหนือกาลเวลา อนันตาจักรวาล กูหมดเลย กูคือว่าง ...เนี่ย เป็นได้หมดน่ะ กิเลส ความอยากในภพน่ะ

มันก็จะสร้างเวทนาขึ้นมา ละเอียดกว่า ประณีตกว่าไอ้ที่กินข้าวอิ่ม ฟังเพลงเพราะ ดูหนังสนุก เห็นรูปสวยงาม...นี่ก็เวทนานึงนะ  หูย เดี๋ยวนี้เวทนาอย่างนี้ อู๊ย ไม่ได้กินหรอก มันชัด

แต่นี่ สงบนี่ นิ่งนี่ ปีตินี่...ของกูเลย อันนี้เลิศ ดีๆ ...ติดใหม่  ไอ้พวกนั้นทันหมดแล้ว ไม่เอา  มาชอบความสงบ อยู่คนเดียวมีความสุข สบาย ไม่รับเรื่องรับราว ไม่รับอารมณ์ ตาหูจมูกไม่สนใจ ...นี่รูปฌาน รูปภพ

หูย กามภพ..ทัน ...แต่พอเผลอปุ๊บมันก็เข้าไปอยู่ ยังไม่ขาดนะ  พอทางนี้อ่อนกำลัง กูก็หากามภพใหม่ ฟังเพลงเล่นดีกว่าให้ใจเย็นสบาย นี่ ไปเที่ยว มีความสุขอย่างนี้ เริ่มโหยหา

เขาเรียกว่ามันยังไม่อนาลโย เดี๋ยวก็หวนกลับไปสลับมา  พอมาใจดี ก็นั่ง อือ อันนี้สุขกว่า สงบกว่า...ติดใหม่ ติดอยู่สองเวทนา สองภพนี้

แต่ถ้ามีปัญญา ละๆๆๆ ...อูย กว่าจะละรูปภพได้นี่ ปัญญาต้องไล่เข้าไปถึงอรูปน่ะ


โยม –  แล้วจุดที่ว่ามันเป็นการเจริญมรรคจริงๆ มันจะ...ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่ขวาก็ซ้ายอย่างนี้ไปตลอดหรือ

พระอาจารย์ –  มันมีที่เดียว รู้ลงไปปัจจุบัน รู้ตัว รู้ตัวโง่ๆ นี่แหละ ชัด ...คำว่ารู้ชัด ตัวรู้มันจะชัด ไม่ใช่สิ่งที่ถูกรู้ชัดนะ ...คำว่ารู้ปัจจุบันแล้วมันจะชัด คือรู้มันชัด คือรู้ตัวนี่แหละ

รู้มันจะชัดอยู่ในตัวของมันเองเลย นั่นแหละจิตปัจจุบัน ที่ไปตั้งมั่นอยู่กับธรรมปัจจุบัน หรือปัจจุบันจิตอยู่กับปัจจุบันธรรมจริงๆ นั่นแหละชัด

พอชัดแล้วนี่ มันจะเห็นอะไรชัดต่อมา ...ก็เห็นปัจจุบันธรรมนั่น พั่บๆๆๆ  ไม่มีตัวไม่มีตน สลับไปสลับมา พึ่บพั่บๆ ...นั่น ปัจจุบันจิตชัดอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่เปลี่ยน

แล้วก็อยู่ในที่อันเดียว จิตเดียว ...ทำอย่างนั้นให้ได้เถอะ อยู่อย่างนี้ให้ชัดด้วย จนเหลือแต่จิตหนึ่ง จิตเอก เอกังจิตตัง คู่กับเอโกธัมโม ธรรมหนึ่ง..จิตหนึ่ง เอกังจิตตัง..เอโกธัมโม

ไอ้ตอนนี้ จิตหนึ่ง...เดี๋ยวก็สอง เดี๋ยวก็สาม ไปคู่กับธรรม...สามสี่ห้าแปดเก้าสิบบ้าง อะไรไม่รู้ มันไม่เป็นธรรมหนึ่งจิตหนึ่ง เข้าใจมั้ย มั่ว ธรรมมั่ว จิตมั่ว

จิตรึเปล่าวะ อันนี้ใช่รึเปล่า ทำไมรู้มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อย ไม่เหมือนกัน ...เนี่ย ให้รู้ไว้เลย ถ้ารู้ไม่เหมือนกัน นั่นน่ะมโนวิญญาณ ไม่ใช่ใจรู้


โยม –  แล้วจำเป็นต้อง..ไม่ต้องคิดหาตัวอยากมั้ย ว่ามันกำลังอยากทำอะไร

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องคิด ไม่ต้องหาอะไร อยู่ในที่อันเดียว ...ถ้าโยมยืนอยู่ข้างถนนน่ะ แล้วก็คอยมองที่ถนนน่ะ อย่าหนีนะ แม้จะไม่มีอะไรมา ...มีหรือมันจะไม่เห็นอะไรมาผ่านหน้ามัน หือ

แต่คราวนี้มันไปนั่งหลับ เอ้า ไม่เห็นมีอะไร ไอ้อย่างนี้ก็สมควรอยู่ ...แต่ถ้าลืมตาอยู่ตรงนี้ ดูเข้าสิ ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไรนะ มันไม่มีทางจะหลุดรอดไปได้หรอก ว่าอะไรจะเกิด อะไรจะไม่เกิด

เพราะนั้นให้รู้ลงในปัจจุบัน ...ธรรมทั้งหลายทั้งปวงต้องเห็นในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน แล้วก็รู้ในปัจจุบันถึงจะจริง ... มันขี้โลภ ...อย่าโลภ

ไม่มีอะไรดู เบื่อ ...เวลาอยู่รู้ตัวเฉยๆ นี่ มันไม่มีอะไร เหมือนคนตายน่ะ มันไม่มีอดีต มันไม่มีอนาคตเลยน่ะ มันก็ว่า “ไม่ก้าวหน้า”  ...มึงจะก้าวไปไหน ฮึ จะก้าวไปไหน

ก้าวหน้า...ชื่อก็บอกแล้วว่าก้าวออกไปจากปัจจุบัน ...มันจะก้าวไปไหน จะเอาแต่ความก้าวหน้า มันจะไปในอนาคตหรือไง ...ก็บอกว่าหยุดอยู่ในปัจจุบัน 

นั่นแหละมรรค มันเดินอยู่แล้ว จิตมันเดินอยู่แล้ว เดินอยู่ในความหยุดนิ่ง สงบ ระงับ ตั้งมั่น ...แน่ะมรรค ศีลสมาธิปัญญาน่ะเดิน เดินอยู่ในโพธิปักขิยธรรม

แต่พออยู่อย่างนี้ “ชักเบื่อว่ะเฮ้ย กูไม่ก้าวหน้าเลย  เห็นคนอื่นเขาพูดเขาเล่ามา โอ้โห เขาก้าวไปไกลเลย กูยังอยู่กับที่เลย” ...ก็ให้อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่แบบโง่ๆ ไปแหละ

อยู่ซื่อๆ นี่ อยู่ซื่อๆ อยู่บ่ดาย แบบหลวงพ่อคำเขียนน่ะ รู้ซื่อๆ รู้โง่ๆ รู้แบบไม่มีอะไร รู้เหมือนคนตาย ..เห็นมั้ย คนตายไม่มีอดีตไม่มีอนาคตเลย

เนี่ย ปัจจุบัน ...พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกลมหายใจเลยนะ ...ไม่ใช่ไปคิดถึงความตายทุกลมหายใจนะ ให้อยู่เหมือนคนตายทุกลมหายใจ

ตายนี่มันตายอยู่แล้ว มาเป็นตัวนี่มันไม่มีอะไรหรอก เป็นก้อน ก้อนธาตุ ธาตุ ๔ แล้วก็รู้อีกอันหนึ่ง ...นั่นแหละตาย ตายมันเข้าไป อยู่แบบคนตาย

เอาจนตายน่ะ ...อะไรตาย  เอาจนจิตตายน่ะ เอาจนใจนี่ตายไปเลย ...ตายจากอะไร  ตายจากความอยาก ตายจากตัณหา ตายจากอุปาทาน ...เดี๋ยวมันจะตายให้ดู ตายยังไงแล้วรู้เอง

มันจะหยุด หยุดวิ่งเกาะขบวนรถด่วน สุดท้ายน่ะ ...ชอบเกาะขบวนรถอยู่เรื่อย รถไหนมาผ่าน อย่าให้กูเห็นนะ กูขึ้นหมดทุกขบวนน่ะ  เขาหลอกไปฆ่า หลอกไปขาย หลอกไปกินซะไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

ขบวนนั้นก็โอ้โหสีสันถูกใจ แต่ขบวนนี้ธรรมดากูไม่ไป กูไม่เชื่อแล้ว กูเคยขึ้นทีนึงแล้ว มันพากูลงเหว กูไม่ไปอ่ะ รอดูขบวนใหม่ อือ มันแต่งซะงดงามตระการตา 

เนี่ย น่าจะไปในองค์มรรคแน่ๆ พาเราเข้าสู่ที่สุดแห่งมรรค...นิพพานรออยู่ข้างหน้าแล้ว...กระโดดขึ้นมั้บเลย

เขาไม่ได้กวัก เขาไม่ได้ชวน เขาไม่ได้เชื้อเชิญเลย เขาแค่เดินมา ไปเรียกเขาเองน่ะ เขาไม่หยุดก็กระโดดขึ้นเกาะ เอาดิ สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอดหรอก ตายข้างทางน่ะ

กลับมารู้อยู่ตรงนี้ รู้แบบน่าเบื่อ ไม่มีอะไร  แล้วจะเห็นความอยากนี่ มันดิ้นออกมา ...อย่าเชื่อมัน เอาจนมันตายน่ะ เอามันจนตายน่ะ อยู่กับคนตายจนจิตตายน่ะ

พอตายก็สบายแล้ว จิตจะหยุดการปรุงแต่ง จิตจะหยุดสังขาร อุปาทานในขันธ์ทั้งหมด แต่ตอนนี้ ดูสิ มันไม่ยอมหยุด ไม่มีอะไรนี่มันก็..ตานี่มันสอดส่ายแล้ว

นั่นน่ะกริยาของใจ..ผู้รู้นั่นแหละ มันมีอีแอบอยู่ข้างใน ...แอบอยากดี แอบปฏิเสธของไม่ดี แอบในธรรม แอบหาธรรมข้างหน้า..ที่เหนือกว่า ละเอียดกว่า ประณีตกว่า

พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัวไม่มีตน ...แต่กูจะหา มีอะไรมั้ย ...นี่ ใจมันว่าอย่างนั้น 

เวลาอยู่กับการไม่มีตัวไม่มีตนในปัจจุบันแล้วมันไม่ชอบ  มันหง่าว มันเซ็ง มันง่อม มันน่าเบื่อ มันไม่มีอะไรปรากฏเลย ...เหมือนคนตายน่ะ บอกแล้วไง

มันจะเป็นคนเป็น มันจะเป็นพระอรหันต์ มันจะเป็นพระอริยะ มันจะเป็นพระโสดาให้ได้ในชาตินี้ นี่ มันจะเป็นให้ได้ อริยบุคคล ต้องเป็นขั้นใดขั้นหนึ่ง จะเข้าไปเสวย เข้าไปกลืนกินสภาวธรรมใดสภาวธรรมหนึ่งให้ได้ 

ถ้ารู้ว่าหลง ถ้าเริ่มหลง ถ้าเริ่มไปหา ถ้าเริ่มไปควาน แล้วไปรู้ตัวตอนนั้น ...อย่าเสียดายเลยนะ รู้ตัวลงเลย  กลับมารู้สึกตัวเลย...แล้วทิ้งให้หมด ช่างหัวมึงปะไร ไม่รู้ไม่เห็นก็ช่างหัวมึงปะไร 

กล้ามั้ยล่ะ ...อย่าเสียดาย อย่ากลัวโง่ อย่ากลัวไม่มีปัญญา เนี่ย มันจะอ้างอย่างนั้น ...ไม่กล้าทิ้งหรอก กลัวว่าถ้าไม่ดูให้ต่อเนื่องแล้วไม่มีปัญญา จะไม่เห็นความเป็นจริงของมัน

ลองทิ้งดูสิ ลองทิ้งดูบ่อยๆ ทิ้งแล้วกลับมารู้ตัวโง่ๆ  นี่ มันจะเห็นเลยว่า อ๋อ ไม่เห็นมีอะไรเหลือเลย ...นั่นแหละปัญญา มันจะอยู่ตรงนั้น เห็นความดับไปของขันธ์ต่อหน้าต่อตา

ผลจะบังเกิดขึ้นในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมเลย ...ไม่ใช่ไปรอคอย...เมื่อไหร่มันจะดับวะ มันจะมีอะไรในนั้นเกิดขึ้นมามั้ย จะได้เห็นเหตุปัจจัยของมัน จะไปหาเหตุหาผล

นั่นนะแหละ อยาก โลภ อยากรู้ อยากเข้าใจกับมัน อยากทั้งนั้นนะนั่น ...แต่เวลาเราดูมันก็ลบคำว่าอยากออก แต่จริงๆ น่ะ ดูลึกๆ สิ มันมีความอยากรู้ อยากรู้ในธรรม อยากเห็นธรรม อยากเห็นขันธ์ตามความเป็นจริง


มันไม่อยู่เฉยๆ ...ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วมันจะเห็นขันธ์ตามความเป็นจริงเขาแสดงเอง ...ไม่ต้องอยาก มันก็ดับไป ร่วงไป ผล็อยๆ หลุด ร่อนๆๆ ออกไปตรงนั้นเลย


(ต่อแทร็ก 3/24  ช่วง 2)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น