วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/25 (2)


พระอาจารย์
3/25 (540322A)
22 มีนาคม 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  กลับมาอยู่บ้าน อย่าไปร่อนเร่ กลับมารู้กับปัจจุบันสบายๆ รู้กายรู้ใจ ดูอาการของมัน มันจะปรากฏยังไง มันจะตั้งอยู่ยังไง มันจะดับไปยังไง ...มันไม่ใช่เรื่อง มันไม่ใช่ธุระของเรา 

เด็กมันจะเล่นกันขนาดไหน มันไม่ใช่ธุระของเรา เราห้ามเขาไม่ได้หรอก เราบังคับเขาไม่ได้หรอก  ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แดดจะออกนี่ ...มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา 

เดี๋ยวมันก็หาย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป เกิดมาบนโลกนี้มีวันไหนที่มันไม่มีแดด ไม่มีอ่ะ ...จะไปคัดจะไปกรองมันยังไง จะไปวางแผนจัดสรรมันได้ยังไง 

ต้องถามว่าเกิดมาทำไม ถ้าเกิดมาแล้วอย่าเรื่องมาก อย่าบ่น มันต้องเจออย่างเนี้ย ...พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันเป็นธรรมดา มันไม่ได้ประหลาด มันไม่ได้ผิด ...มันเป็นความเป็นจริง มันเป็นสัจจะ 

จนพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามันเป็นทุกขสัจ ...คำว่าทุกขสัจคือทุกข์นี้เป็นสัจจะ หนีไม่พ้นหรอก ต้องเจออาการอย่างนี้ ...กายมันเป็นอย่างนี้ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ปวดเมื่อยบ้าง แตกหักชำรุดบ้าง ป่วยบ้าง ตายบ้าง

เนี่ย ท่านบอก เป็นธรรมดาเลยนะ เราหนีไม่พ้น ...แล้วใจก็ต้องมีการคิดบ้าง ปรุงบ้าง แต่งบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามอาการที่มากระทบมันน่ะ ...มันก็บิดๆ เบี้ยวๆ ไปตามสิ่งที่มากระทบมันน่ะ

ท่านบอกว่ามันเป็นธรรมดา นี่เขาเรียกว่าทุกขสัจ ...แต่เราไม่เห็นทุกขสัจ เราไม่ยอมรับทุกขสัจ  เราจะไปสร้างอุปาทาน คือหาเกราะมากำบัง ป้องกัน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข รักษา ทำขึ้นมาใหม่

เนี่ย อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่าทุกข์...แต่เป็นทุกข์อุปาทาน ...มัวแต่จะไปหาการสร้างอุปาทานขึ้นมาใหม่ แล้วอ้างว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ดีกว่าเดิม

ดียังไง ตายทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นใครรอด ...พระอรหันต์ก็ยังสิ้น ก็ยังดับขันธ์ ไม่ได้มีอะไรดีเด่กับขันธ์หรือเอาชนะขันธ์อันนี้ได้เลย

แต่ท่านชนะอะไรล่ะ ท่านชนะตรงที่ว่าท่านไม่มีอุปาทานขันธ์  ท่านไม่เคยเอาชนะทุกขสัจ ท่านเข้าใจ ท่านยอมรับ มันเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้เกิด..สิ่งนี้เกิด

มีแดดต้องร้อน มีฝนต้องเปียก ...เป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้ หนีไม่ได้ ยังไงก็ต้องเจอ ขึ้นๆ ลงๆ หาความแน่นอนกับโลกกับอาการของขันธ์นี้ไม่ได้

เพราะนั้น กลับมาหยุดอยู่ที่ปัจจุบันด้วยสติที่ตั้งมั่น อดทน ...อดทนอะไร ...อดทนต่อความอยาก อดทนต่อความไม่อยาก

อยากอะไร..อยากได้ อยากอะไร..อยากมี อยากอะไร..อยากเป็น  ไม่อยากอะไร..ไม่อยากได้ ไม่อยากอะไร..ไม่อยากมี ไม่อยากอะไร..ไม่อยากเป็น

อยู่ตรงเนี้ย ...มันจะได้ดัดสันดานจิตที่มันกระเหี้ยนกระหือรือ ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง มักมากในธรรม จะเอาเป็นอริยบุคคลให้ได้

เอามาต้มกินได้รึเปล่า ไม่รู้อิ่มรึเปล่า หรือเอามาชั่งกิโลขาย หรือเอามาฉาบหน้าให้หน้าผ่อง จะได้เดินแล้วมีคนทักว่าเป็นมนุษย์ประหลาดมหัศจรรย์เหนือโลกเหนือมนุษย์

เหมือนลิเกหลงโรงน่ะ ...เคยเห็นคนแต่งตัวชุดลิเกมาเดินซื้อของช้อปปิ้งมั้ย เหมือนกันเลยพวกพระอริยะเต็มบ้านเต็มช่องอยู่ตอนนี้ มันยะจนเยอะ จนเฝือ

ภาวนาไปเดือนสองเดือนปีสองปี สำเร็จกันแล้ว มันไวแท้วะ กูทำแทบตายกูยังไม่ไปถึงไหนเลย กูยังอยู่ที่เดิมเลย ไม่เคยก้าวหน้าก้าวหลังเลย...มีแต่อยู่ที่เดิม มีแต่ความเป็นปกติ

เนี่ย ไม่เห็นมันจะผิดตรงไหนเลย ...แต่พยายามทำให้มันผิดมนุษย์มนากันไปเรื่อย ทำจิตให้ประหลาดมหัศจรรย์เกินมนุษย์มนา แล้วก็มาคุยกันโฉ่งฉ่างๆ ล้งเล้งๆ เต็มเว็บไปหมด

ธรรมะในเว็บน่ะ แตกกระเด็นกระดอนจนข้ามเว็บเลยอ่ะ แบ่งพวกอีก เว็บนี้ใช่ เว็บนี้ไม่ใช่ มีทั้งวิมุติ มีทั้งแอนตี้วิมุติ มีทั้งลานธรรม แล้วมันเหมือนลานธรรมก็มี(หัวเราะกัน) มันเลียนแบบกันได้หมด

การปฏิบัติจริงๆ นี่ มันไม่ได้ซับซ้อน มันไม่ได้ยาก หรือมันมีวิธีการอะไร ...เพราะนั้นไอ้ที่ว่ายากหรือวิธีการนั่น พระพุทธเจ้าท่านบอกมันเป็นอุบายเท่านั้น

ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้าต้องการให้เข้าใจเรื่องของขันธ์ตามความเป็นจริง ...โดยขันธ์นั้นไม่ต้องไปหาหรอก มันมีอยู่แล้ว มันปรากฏอยู่ตลอดเวลา

แต่เรามองข้าม...มักจะมองข้ามปัจจุบัน ...มัวแต่จะไปหาขันธ์ในอนาคต เวทนาในอนาคต ตัวตนในอนาคต สภาวธรรมในอนาคต สังขารธรรมในอนาคต รูปในอนาคต บุคคลในอนาคต

มันมองข้ามปัจจุบัน มันเลยไม่เห็นขันธ์ตามความเป็นจริงสักที ...มันก็เลยข้ามไปไม่รู้กี่ชาติ ชาติแล้วชาติเล่า ข้ามแล้วข้ามอีก ...เกิดมาใหม่ก็คอยดูข้างหน้าอีก ทำเพื่อให้ได้ข้างหน้าดีขึ้น

แต่เดี๋ยวนี้เป็นยังไงไม่เคยรู้ ไม่เคยอยู่ตรงนี้ ...พอกลับมาอยู่กับปัจจุบันสักนิดสักหน่อยก็เบื่อแล้ว ไม่เห็นมีอะไรแล้ว ไม่ได้อะไรแล้ว ไม่ก้าวหน้าอีกแล้ว มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีอะไรเลย

เอ๊อ ทั้งหลายทั้งปวงพระพุทธเจ้าก็สอนเพื่อให้ไม่มีไม่เป็นน่ะ ...จะให้มันมีให้ได้ จะให้มันมีอะไรให้ได้อ่ะ

รู้อยู่ในปัจจุบัน รู้ง่ายๆ รู้ตัว กลับมารู้ตัว ...แค่รู้ตัวนี่บ่อยๆ รู้ที่ตัว คำว่ารู้ตัว รู้สึกตัว คือรู้ที่ตัว ...ตัวคืออะไร ก็ตัวนี้แหละ ตัวใครตัวมันนี่แหละ มันมีตัวคนละตัวอยู่แล้ว

มันก็กาย แต่เราไม่เรียกกาย เราเรียกตัว มันเป็นตัวๆ ให้รู้ตัว ...อย่าไปรู้ตัวคนอื่น อย่าไปรู้ที่ตัวคนอื่น ...ตัวนี้ ตัวใครตัวมัน ของใครของมัน

กลับมารู้ตัวบ่อยๆ ตรงที่รู้ตัวมันไม่มีอะไรหรอก เห็นป่าว ...แต่มันไม่ชอบ มันจะให้มีให้ได้ ...แน่ะ ให้ทัน ให้ทันตอนที่มันอยากมี อย่าเชื่อมัน

ไอ้ตอนที่มันจะอยากมีอยากเป็นน่ะ เขามากวักมือเรียกแล้ว มากวักมือเรียกหน้าบ้าน ไปดำน้ำโคลนเล่นดีกว่า... เหรอ ไม่เคยไป สนุกป่าว สนุกๆ ไปเลย ไป

นั่นแหละ อยากมีอยากเป็น...ไม่เอา ...ไม่เอายังไง กลับมารู้ตัว กลับมารู้ตัวอีก ...พอกลับมารู้ตัวอีกแล้วเห็นยังไง แขกที่มาชวนนั้นมันก็วิ่งหนีหายไปเลย นี่ดับ ไม่มีตัวไม่มีตน

มันเป็นแค่เสียงเคาะเรียกเอง พอเราไม่ไปตาม มันก็ไม่มีตัวไม่มีตนอะไร เสียงนั้นก็หายไป ...นั่นแหละ รู้อย่างนี้ รู้ตัวบ่อยๆ ไม่ตาม ไม่ไป ไม่มา

แล้วเดี๋ยวก็มี "จะก้าวหน้าหรือ ทำอย่างนี้ไม่ก้าวหน้า ทำอย่างนี้ไม่ได้อะไร" ..นั่น ทัน เริ่มคิดแล้ว เริ่มคิดแล้ว มันมาตะโกนร้องเรียกแล้ว

มันก็สาธยายว่าถ้าเปิดประตูออกมานะแล้วก็เดินไปตามเส้นทางสายนี้นะ ขึ้นรถเมล์สาย 50 แล้วก็จะไปถึงกรุงเทพฯ ได้เลยนะ ...อ๊ะ ไม่ฟัง ไม่ไป รู้ตัวอีก

ไอ้ทางนั้นก็ไม่มี มันก็ดับ ...ถ้าไม่คิดตามมัน ไม่ต่อกับมัน ไม่ให้กำลังมันกับมัน ไม่ตามมันออกไป ...ถนนเส้นนั้นจะไม่มีให้เห็นเลย นั่นแหละ มันก็ดับ ดับตรงที่กลับมารู้ตัวอีก

เพราะนั้นตรงที่รู้ตัวน่ะ มันมีสองอาการ...หนึ่งตัว สองรู้  เห็นมั้ย หนึ่งตัว สองรู้ ...รู้เป็นอันนึง ตัวเป็นอีกอันนึง ...ตัวคืออะไร ตัวนั่นแหละคือขันธ์ ขันธ์ที่อยู่ในปัจจุบัน

เห็นมั้ย พอดูขันธ์ในปัจจุบันที่เป็นตัวๆ มันเป็นอะไร ...ตรงรู้ตัวน่ะ เป็นอะไร ตัวนี้เป็นอะไร  มึงชื่ออะไร...เงียบ  มึงเป็นใคร...เงียบ  มึงเป็นชายหรือมึงเป็นหญิง...เงียบ

ถ้ามันจะตอบ มันก็คงบอก กูก็เป็นตัวๆ อย่างนี้  กูยังไม่รู้เลยว่าตัวกูเป็นอะไร ...เห็นมั้ย รู้ตัวนี่ ขันธ์นั่นแหละ ขันธ์ตามความเป็นจริง

อยู่แค่นี้ รู้อยู่แค่นี้ ...ไม่ฉลาดหรอก มันโง่ ไม่มีความรู้ ไม่มีสภาวธรรมอะไร ...มีแต่รู้ตัว รู้กับตัวนี่ เป็นรู้กับปัจจุบัน ตัวก็เป็นตัวปัจจุบันนี่

แต่ไอ้ตัวนี่มันจะดีดดิ้นแปรเปลี่ยน...ไปเป็นเห็น ไปเป็นได้ยิน ไปเป็นอะไรได้มากมาย ...และไอ้ตัวที่รู้กับตัวนี่มันก็จะมีแรงผลักดันที่จะออกไปหาตัว...ตัวใหม่ๆ

แน่ะ ให้กลับมาศึกษาเท่าทันอยู่ตรงนั้นแหละ ตรงที่รู้ตัวบ่อยๆ ...แล้วทำไมมันถึงต้องรู้ตัวบ่อยๆ ...เพราะมันไม่ยอมรู้ตัว มันจะออกไปรู้ข้างนอก สันดานไม่ดี

สันดานไม่ดี ไอ้ตัวสันดานนั่นแหละคืออนุสัยที่อยู่ในรู้หรือว่าใจรู้นั่นน่ะ ...มันจะผลักให้ไปหานั่นหานี่ โลภ...มันโลภ มันก็หงุดหงิดตัวมันเองว่า มีแค่นี้เองเหรอ ไม่เห็นได้อะไรเลย

พอไม่รู้ตัวปุ๊บ ...ความจำมา มันก็มีความจำขึ้นมาว่า เคยได้ยินว่าเขาว่าทำยังงั้นแล้วได้ยังงี้ ...ก็จะวุ่นวี่วุ่นวายมากขึ้นๆๆ จนทนที่จะรู้ตัวอยู่เฉยๆ ไม่ได้

ต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิ ขัดสมาธิเพชร กำหนดกระดูกพุทโธๆ หรือพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อให้ได้สังขารธรรมสภาวธรรม เกิดความเข้าใจในขันธ์มากขึ้น

นี่ อยู่กับหลัก แต่ไม่ตั้งมั่น ไม่มั่นคงกับหลัก ...กลับไปหาอุบาย โดยเข้าใจว่าอุบายนี้เป็นหลักมากกว่า

ถ้าฟังหลวงปู่จนหมดทุกคำเทศน์ จะได้ยินหลวงปู่ท่านพูดว่าพวกศาสดาหัวแหลม มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มันชอบเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ไอ้ใจผู้รู้นี่...แต่มันมีผู้ไม่รู้แอบอยู่คืออวิชชา

มันเสนอวิธีการอยู่เรื่อย...อ้างนั่นอ้างนี่ เงื่อนไขนั้นเงื่อนไขนี้ เวลานั้นเวลานี้ สถานที่นั้นสถานที่นี้ ทำแบบนั้นทำแบบนี้ อาจารย์องค์นั้นอาจารย์องค์นี้

มีแต่นี้กะนี้กะนี้กะโน้นๆ เป็นหลักไปหมด มันเลยเป็นหลักแบบสะเปะสะปะ  ลมดีลมร้าย ขึ้นๆ ลงๆ แต่พอกลับมาอยู่ที่รู้ตัวนี่ ทุกอย่างหายหมด

ไอ้ที่ว่าเป็นวิธีการนั้นวิธีการนี้...หมด ไม่มีอะไรเหลือหรอก ...มีแต่ความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คือตัวนึง กับรู้อันนึง

รู้อยู่แค่นี้ รู้ในแค่สองสิ่งนี่...รู้เข้าไป อย่าออกนอกรู้ตัวนี้ เรียกว่ารู้ปัจจุบัน ...ปัจจุปันนัญจะ โย ธัมมัง  ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ...รู้อยู่ที่นี้ ที่อื่นไม่เอา

อย่าไปเอามรรคเอาผลกับที่อื่น อย่าไปเข้าใจว่าได้นั้นได้นี้แล้วจะเป็นมรรคเป็นผล หรือจะเกิดมรรคเกิดผล หรือเป็นปัจจัยให้เกิดมรรคเกิดผล

ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้กายกับใจในปัจจุบัน นี่สติปัฏฐาน ...เอาจนมันเป็นมหาสติปัฏฐาน คือไม่ออกนอกนี้เลย พอจะออกปุ๊บมันรู้พั้บ...ทัน

เบื่อ ไม่ไปแล้ว เหนื่อย รำคาญ ไม่เห็นได้อะไรเลย ...มีแต่ได้มาก็แค่นั้น เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สงสัย เดี๋ยวก็ไม่มีคำว่าจบสิ้น ...ไม่ไปอ่ะ รู้ตัวตรงนี้ดีกว่า  

ไม่ได้อะไร ไม่รู้อะไร...แต่สบายดี สันติดี ...สุขก็ไม่ได้หรอกนะ ทุกข์มันก็ไม่เกิดนะ แต่มันสุขก็ไม่มีนะ มันก็เป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนี้ มีแต่ความรู้ตัวๆๆ


(ต่อแทร็ก 3/25  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น