วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/24 (4)


พระอาจารย์
3/24 (540319)
19 มีนาคม 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  3/24  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าไปพิจารณา ไปหยิบยกขึ้นมา บอกว่าเป็นแขนเป็นขา ดูเป็นหน้าเป็นตาเป็นรูป ...นี่ เอาสมมุติเอาบัญญัติเข้าไปกำหนดรู้กับมันนะ มีอุปาทาน จะมีอุปาทานในตัวนี้ ...สังเกตเอา แยบคายดู

แค่รู้ง่ายๆ รู้ธรรมดา มันจะเห็นเลยว่ากายนี้เป็นแค่ทุกขสัจที่ตั้งอยู่...ยังตั้งอยู่ๆ แต่ว่ามันยังตั้งอยู่บนความแปรปรวน บนความเปลี่ยนแปลงไปๆ มาๆ

มันก็เคลื่อนไป เดี๋ยวไหว เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวปวด เดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวอุ่น ...เพราะนั้นในก้อนธาตุนี้ มันยังมีก้อนเวทนาติดอยู่กับก้อนธาตุ

ก็เรียนรู้ รู้อยู่ในที่ปัจจุบันน่ะ มันเห็นหมดเลย ...ไม่ต้องไปไล่ดูว่า มีจริตถูกกับอะไร จะกำหนดจิตดี กำหนดเวทนาดี หรือกำหนดกายดี หรือกำหนดธรรมารมณ์ดี ...ไม่มีที่ดีอื่นนอกจากปัจจุบัน


โยม –  แล้วตัวผู้รู้เองก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่ามันจะดับหรือไม่ดับ

พระอาจารย์ –  ไม่ต้อง ไม่ต้องทำอะไร


โยม –  แค่รู้ไปเรื่อยๆ

พระอาจารย์ –  รู้ไปๆ สังเกตเอา แยบคายเอา สอดส่องดู มันจะจำแนกของมันเอง มันจะจำแนกเอง ...บางครั้งก็เป็นผู้รู้ บางครั้งก็รู้เฉยๆ ...มันจะประมวลในตัวของมันเอง เราไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก

เพราะไม่ต้องการให้ “เรา” เกิดเลย เพราะนั้น “เรา” ไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก ...ถ้ายังไปช่วยเขานั่นน่ะ “เรา” เกิดแล้ว ผู้รู้เกิดแล้ว เป็น “ผู้รู้” แล้ว เป็นผู้ที่จะเข้าไปรู้ไปเห็นแล้ว

รู้ง่ายๆ รู้ธรรมดา รู้ตัว รู้บ่อยๆ เผลอไป..รู้ กำลังเพลินกับรูป เพลินกับเสียง เพลินกับความคิด เพลินกับพิจารณา เพลินกับความสุขความทุกข์อะไรก็ตาม

พอมีสติแรกแล้วกลับมารู้ตัวเลย แล้วจะเห็นว่าทุกอย่างดับหมด ...ขาดเลยน่ะ มันจะขาดจากขันธ์ทั้งหมดน่ะ ในปัจจุบันนั้น

แรกๆ อาจจะไม่เห็นชัดหรอก นะ รู้ไปบ่อยๆ แล้วจะชัดขึ้นว่า...เวลากลับมารู้ตัวปุ๊บ ไม่มีอะไรเหลือ มันขาดแบบไม่เหลียวหลังเลย

รู้ตัวบ่อยๆ รู้ลงในปัจจุบัน แค่นี้แหละ ทั้งหลายทั้งปวงมีแค่นี้แหละ เพื่อให้มาแจ้งในปัจจุบัน ...เมื่อแจ้งในปัจจุบันแล้วจะเห็นขันธ์ทั้งหลายทั้งปวงนี่เป็นไตรลักษณ์...เดี๋ยวนั้นเลย

เมื่อเห็นตรงนี้บ่อยๆ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์บ่อยๆ จิตมันจะหยุดของมันเองน่ะ...ใน ความปรุงแต่งของจิต

ความหมายของคำว่าความปรุงแต่งของจิตนี่คือความปรุงกริยาของจิต หรือมโนกรรม ที่จะไปสร้างกรรมกับขันธ์ มันจะหด มันจะจางลงๆ มันจะหยุด หยุดมากขึ้น

กริยาจิตก็จะน้อยลง การไขว่คว้า การแสวงหา การทะยานไปในอดีตอนาคต จะสั้นลงมาเรื่อยๆ จนถึงว่า นิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันในจิตนั้น

เพราะนั้นมันจะตั้งมั่นชัดเจนขึ้น ศีลสมาธิปัญญาจะรวมลงเป็นหนึ่ง ถึงที่ถึงทางก็เป็นมรรคสมังคี “เข้าใจแล้ว” มันก็บอกด้วยตัวของมันเอง “เข้าใจแล้ว” ...ก็แค่นั้นน่ะ

ถามว่าเข้าใจอะไร...ไม่รู้  มันค่อยไปรู้ไอ้ตอนที่มีเรื่องมีราว บางเรื่องบางราว “อ๋อ รู้แล้วว่ากูเข้าใจอะไร” ...ไอ้ตอน “เข้าใจแล้ว” นี่...กูไม่รู้กูเข้าใจอะไร

บางครั้งไปเปิดธรรมะอ่านบางข้อ “อ๋อ รู้แล้วที่มันเข้าใจ...มันเข้าใจอันนี้” ...ขณะที่มันเข้าใจด้วยปัจจัตตังน่ะมันไม่รู้หรอกความหมาย ไม่มีอะไร

แต่ไอ้ที่พวกเราอยากรู้อยากเข้าใจน่ะ ...มันเข้าใจแบบฉาบทา ลูบๆ คลำๆ มันไม่เข้าไปถึงใจ เข้าไปถึงใจ หรือว่าเข้าใจถึงใจ...ด้วยปัจจัตตัง

แค่กลับมารู้ว่างๆ เบาๆ กับตัวนี่แหละ ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรนี่แหละ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ...ไปเรื่อยๆ อย่าท้อ อย่าขี้เกียจ อย่าเบื่อ อย่าเบื่อการรู้ตัว

อย่าเบื่อการกลับมาอยู่ในที่อันเดียว สิ่งเดียว  อย่าไปให้มันแตกซ่าน แตกกระสานซ่านกระเซ็นออกไป ส่ายไปส่ายมา ...แล้วมันจะเป็นอิสระจากอดีต-อนาคต จากภพข้างหน้า-ข้างหลัง

ทั้งชีวิต ตลอดทั้งวันน่ะ หาปัจจุบันยังไม่ค่อยเจอเลย ...มีแต่เรื่องคนนั้น เรื่องคนนี้ เรื่องของเราข้างหน้า เรื่องของเราข้างหลัง เรื่องของคนโน้นข้างหน้า เรื่องของคนนี้ข้างหลัง

ไม่เห็นมีเรื่องปัจจุบันเลย มีปัจจุบันนิดนึง พอกลับมานิดนึงก็เบื่อแล้ว ขี้เกียจแล้ว ...ต้องทวนๆ กลับมารู้ในปัจจุบัน จนเป็นนิสัยน่ะ สร้างนิสัย เป็นนิสัยขึ้นมาใหม่เลย

ไม่เอา ไม่มี ไม่ไป ไม่เป็น มันจึงจะเท่าทันในขณะแรก ...เพราะตอนนี้กว่าจะทันน่ะ มันหลายแรกแล้ว มันจะเป็นสุดท้ายแล้ว..ถึงไปทัน พอรู้แล้ว..ก็ยังเสียดายอีก ยังไม่กล้าละอีก

ต้องบ่มเพาะกำลัง รู้แล้วก็หักอกหักใจไปเรื่อยๆ กำลังจิตมันจะแรงขึ้นเอง สมาธิมันจะมั่นคงขึ้น รู้ปุ๊บทิ้งปั๊บๆ รู้ปุ๊บ..ละเลยๆๆ รู้..ละๆๆๆ รู้..วาง

เอามันจนเหนื่อยน่ะ บางทีเหนื่อยหอบแฮ่กๆๆ กูมีแต่เรื่องให้ละทั้งวันเลย เพราะจิตมันไม่เคยหยุดทั้งวัน เหนื่อย เกิด-ดับๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เอาจนเหนื่อยน่ะ กว่ารอบของจิตมันจะเริ่มช้าลง

พอรอบของจิตช้าลงนี่ มันจะเริ่ม...อ้อ รู้เป็นอิสระขึ้นหน่อย ไม่ค่อยเกิดไม่ค่อยดับ ไม่ค่อยไปไม่ค่อยมาแล้ว ไม่งั้นต้องคอย พั้บๆๆๆ อยู่อย่างนั้น ...มันวิ่ง มันจะวิ่งหาทางออก

พอมันวิ่งก็คอยรู้ทัน รู้..ละๆๆๆ เกิด-ดับๆๆ ...เหมือนรถที่มีน้ำมันน่ะ มันก็ทะยาน ยังมีคนขับที่คอยเหยียบคันเร่ง มันก็ไป..จะไปอยู่เรื่อย จนกว่ามันหมดน้ำมันน่ะ

ต่อให้มีคนขับมันก็ไม่ไป เหยียบมันเข้าไปคันเร่ง เหยียบมันเข้าไปๆ บ้าอยู่คนเดียวนั่นแหละ มันไม่ไปไหนแล้ว รถมันกลายเป็นซากเหล็กแล้ว ไม่เรียกว่ารถแล้ว ...มันหมดน้ำมัน

ลักษณะนั้นแหละ ใจมันจะทะยานออกไปจนหมดนั่นแหละ ...แต่ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่ ขับไปแล้วก็ไปแวะเติม อ้าว เติมน้ำมันหน่อย หาที่อยู่ที่กิน แน่ะ สบายกูล่ะ

แล้วมาบ่น ไม่เห็นหมดน้ำมันสักที ...อย่ามาบ่น พามันไปกิน พามันไปเดิน พามันไปเที่ยว พามันไปเติมน้ำมัน พามันไปเสวยเวทนาในภพนั้นภพนี้ ธรรมนั้นธรรมนี้ ...เติมน้ำมันเข้าไปเหอะ

แต่ถ้าขับลูกเดียวนี่ ไปเลย ไม่เติม ไม่แวะ ไม่จอด มึงอยากไปก็ไป ไป ไปก็ไปเลย ไม่ต้องกลับ ละไปเลย นั่น ละไปๆ มันจะผลัก มันเหยียบคันเร่งออกมาก็ไป ไม่เติมน้ำมันให้มัน

อย่าเหนื่อย อย่าเบื่อ อย่าท้อ เหนื่อยหน่อย เดี๋ยวมันก็หมดน้ำมัน ...ชาติไหนไม่รู้ อยู่ที่ว่าถังน้ำมันใครใหญ่น่ะ (โยมหัวเราะ) หรือว่ามันเคยวิ่งมาจนน้ำมันใกล้หมดแล้ว ไม่รู้ อันนี้ไม่รู้

ไม่ต้องไปถามหมอดู ไม่ต้องไปถามพระ พระไม่ใช่หมอดู พระไม่รู้ พระสอนให้ทำเอง ดูไปเอง ของใครของมัน อยากเป็นหมอดู...ต้องดูตัวเอง อย่าไปดูคนอื่น

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้พระเป็นหมอดูไปไล่ดูคนอื่น ...สอนให้ทุกคนเป็นหมอดู แต่ดูตัวเองนะ ดูจิตตัวเองให้ทันนะ นี่ สอนให้เป็นหมอดูเหมือนกัน...แต่ดูตัวเอง ดูเจ้าของ

อย่าไปไล่ดูคนอื่น ดูคนอื่นแล้วก็เดี๋ยวก็ไปติ เดี๋ยวก็ไปโทษ เดี๋ยวก็ไปสงสัย เดี๋ยวก็ไปกังวล ...พระไม่รับเป็นหมอดู สอนให้ดูเอง แล้วก็จะรู้เอง อ้อ น้ำมันในถังนี่เหลือนิดเดียว..แต่กูพ่วงไว้อีกบานเลย (หัวเราะ)

รู้เองน่ะ รู้เอง ...มันจะได้ทิ้งพ่วงไป ยังแอบพ่วง น้ำมันในถังน่ะมีน้อยแล้ว แต่กูแอบพ่วงไว้อยู่ ...จะได้ทิ้งไอ้ที่พ่วงๆ ไปซะ ลังเลสงสัยๆ อยู่นั่นน่ะ มันมีอยู่แล้ว มันเข้าใจอยู่แล้ว

แต่ยังแอบพ่วง accessory เผื่อกลัวตาย กลัวไม่ถึง กลัวช้า บางคนพ่วงเป็นรถพ่วงสิบล้อเลย เป็นแถวเลย มีหลากหลายเหลือเกิน รักเผื่อเลือก เผื่อไปไม่รอด กลัวตาย กลัวอด

ถึงบอกว่าปัญญาวิมุตินี่ เป็นแบบแห้งๆ เป็นแบบไม่มีอะไร ไม่ค่อยเหมือนลิเก ไปแบบคนธรรมด๊าธรรมดา ไม่มีเครื่องประดับเพชรพลอยวูบวาบๆ ไปไหนคนแห่แหนตื่นตาตื่นใจอะไร

ก็เป็นธรรมดานี่ เดินชนกันกลางถนนคนยังไม่รู้เลย เหมือนกับใครก็ไม่รู้มาเดินชนกู นั่นแหละ ไม่มีอะไร เป็นธรรมดายิ่งกว่าคนธรรมดาอีก

มันจะได้ทิ้งไอ้ที่พ่วงมาไว้ แอบพ่วงกันไว้เยอะ มันก็เลยไปติดไอ้ตัวพ่วงนั่นแหละ เสียดาย ...อย่าไปเสียดายมัน ความรู้ความเห็นอะไรก็ตาม ความแจ้งในสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ตาม

หรือรายละเอียดของขันธ์ใดขันธ์หนึ่งก็ตาม หรือแม้แต่รายละเอียดของจิตใดจิตหนึ่ง ผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม อย่าไปใส่ใจ รู้มากจะยากนาน เสียเวลา เนิ่นช้า มีแต่รถพ่วง

ให้มันวิ่งจนหมดน้ำมัน มันตาย มันหยุดตรงไหน นั่นแหละที่สุดขององค์มรรค

เพราะนั้นถนนแห่งมรรคนี่ ของแต่ละคนนี่ ไม่สามารถจะพูดว่ามันยาวขนาดไหนเป็นมาตรฐานเดียวกัน เอาว่ารถมันหยุดตรงไหนน่ะ ที่นั่นคือสุดทางของมรรค

มันจะยาวก็ได้ เท่านี้ก็ได้ ไม่รู้น่ะ มันหยุดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นั่นน่ะ มันไม่มีช้าไม่มีเร็ว มันอยู่ที่ว่าเหตุปัจจัย...การประกอบเหตุปัจจัยของศีลสมาธิปัญญา...มันเพียงพอไหม

กลับมารู้ลงในปัจจุบัน สติ ไม่ต้องไปซับซ้อน ไม่ต้องไปรู้ซับซ้อน ไม่ต้องไปรู้ไกล รู้อยู่...ตรงนี้ ที่เดียว อันเดียว กับสิ่งเดียว รู้เดียว ไม่มีอะไรหรอก ...อย่าไปหลายรู้ อย่าไปหลายเรื่อง

พอมันจะวอบจะแวบ มันจะวูบจะวาบ มันจะไปมันจะมา อย่าไปสนใจมัน อย่าไปให้สาระแก่นสารกับมัน ...กลับมารู้ตัวเลย กลับมารู้ลงในปัจจุบันเลย

แล้วก็จะเห็นเองว่าขันธ์มันไม่เที่ยงอย่างไร เห็นเองว่าขันธ์มันไม่มีตัวไม่มีตนอย่างไร ขันธ์มันจับต้องไม่ได้อย่างไร ขันธ์มันไม่ใช่ของเราอย่างไร เขาจะแสดงธรรมในตัวของเขาเองให้ปรากฏ

เขาไม่เคยโกหก เขาไม่เคยปิดบัง ในความเป็นขันธ์ ในความเป็นไตรลักษณ์เลย ...หาแทบตาย ไม่เห็น พอไม่หาดันเห็นน่ะ บอกให้  มันก็ปรากฏให้เห็นจะจะ แจ้งๆ อยู่แล้ว

เขาไม่ได้เคยปิดๆ บังๆ อะไรเลย ...แต่เราน่ะมันเข้าไปลูบๆ คลำๆ กับเขาเอง  มันก็เลยเป็นความรู้แบบลูบๆ คลำๆ รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ หลับๆ ตื่นๆ มืดๆ มัวๆ จะแจ้งก็ไม่แจ้ง จะบอดก็ไม่บอด

มันก็เลยเดินชนไปชนมาๆ เดินทีไรกูโดนชนทุกที..เจ็บ อย่างนี้ แต่ก็รู้ว่าเดินนะ แต่ก็ยังเดิน ก็รู้ว่าเดินแต่ก็ยังเดินอย่างนี้ มันก็เลยเจ็บ ชนนั่นชนนี่ๆ เก้ๆ กังๆ จะไปข้างหน้าดี จะถอยหลังดี

ไปข้างหน้าก็ไปไม่ถึง จะถอยหลังก็กลัวถอยหลัง จะหยุดอยู่กับที่ก็กลัวไปไม่ได้ ...นั่น มันหลายมรรค มันเลยกลายเป็นมักมาก มักมากในวิถีจิต มันไม่ใช่มรรคาในวิถีของพุทธะ

กล้าๆ กลัวๆ ...ไม่รอด กล้าอย่างเดียว..รอด กล้าหยุดอยู่ในปัจจุบัน...นั่นแหละวิถีแห่งพุทธ ...พอหยุดแล้วกลัวคนอื่นมาเอาคืน กลัวคนอื่นเขาวิ่งเกิน เอาแล้ว เริ่มแล้ว

เริ่มสร้างภพหลอกอีกแล้ว ความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเริ่มบังเกิดขึ้นในจิตผู้รู้แล้ว มันก็ปรุงไปเรื่อยน่ะ ล่อหลอก พอทันในมุมนี้ มันก็ออกมาเหลี่ยมนั้น แปดเหลี่ยมสิบสองคม

กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดน่ะ ท่านเปรียบเทียบไว้  ทันเหลี่ยมนี้มันก็ออกเหลี่ยมนั้น พอไม่เชื่อข้ออ้างนั้น มันก็มีข้ออ้างนี้ มีข้ออ้างนี้ก็มีข้ออ้างโน้นอีก ภายใต้เงื่อนไขของความอยากกับไม่อยากแค่นั้นเอง

เอาจนเด็ดเดี่ยวรู้ลงในปัจจุบันที่เดียวนั่นน่ะ จบฉากกันตรงๆ ...ไม่ได้ความรู้อะไร แต่ภพมันจะน้อยลง 

เอ้า มีโอกาสค่อยมา มารายงานว่าหยุดอยู่ในที่อันเดียว หรือว่ายังไล่ตามขึ้นจับรถบัสรถทัวร์กันอยู่ (หัวเราะกัน) ...จะตีตั๋วเฟิร์สคลาสอยู่เรื่อย


………………………..




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น