วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/8 (2)


พระอาจารย์
3/8 (531230A)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
30 ธันวาคม 2553
(ช่วง 2)


(ต่อจาก แทร็ก 3/8 ช่วง 1

พระอาจารย์ –  พอแยกเป็นส่วนเมื่อไหร่นี่  ความหมายมั่นที่เป็นเรา ของเรา มันก็ทอนลง ...เพราะมันจะเป็นเราของเราต่อเมื่อมันเป็นพืด 

เหมือนกับเราเดินไปนี่ด้วยความไม่รู้ มันก็เหมือนกับกองนี้  ไอ้กองถุงกายนี่ มันมีความรู้สึก มีความทุกข์ มีความเศร้า มีความโศก มีความคิด มีความจำ ...ไปทีเป็นพรวนเลย อัดอยู่ในก้อนนี้ 

มันไปแบกไปทั้งขันธ์น่ะ แบกไปทั้งหมด  แล้วก็คงมีอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น ...เนี่ย มันจึงเกิดความหมายมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา อยู่อย่างงั้นน่ะ

มันไม่เห็นว่า...มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันเปลี่ยนอย่างนี้ๆๆ  สลับๆๆ อย่างนี้ ...นี่ สติมันต้องมาแยบคายด้วยการจำแนก จำแนกขันธ์ว่าเป็นกองๆๆๆ คนละส่วนๆๆ ...อันนี้ดับ อันนี้เกิด ดับอันนี้ เกิดอันนี้ๆๆ อยู่อย่างนี้ 

ให้เท่าทัน ...มันจึงจะเห็นภาพของขันธ์ตามความเป็นจริงได้ชัดเจน จนเห็นว่าขันธ์เกิด-ดับ ...มันจะเกิดพร้อมกันห้าขันธ์ในขณะเดียวกันไม่ได้ ...แต่มันต่อเนื่อง ไวมาก  

เมื่อมันเห็นอย่างนั้นน่ะ ในอาการที่กระโดดไป กระโดดมา สลับๆๆๆ พั้บๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ...มันจะเห็นเลยว่าขันธ์ห้าว่างเปล่า ขันธ์ห้าตั้งอยู่บนความว่างเปล่า

มันก็จะเกิดความรู้ในใจของมันเองว่า ขันธ์ห้าโดยความเป็นจริง ที่แท้จริงแล้วขันธ์ห้าไม่มีตัวตนที่แท้จริง ...เกิดแต่ละครั้งก็เหมือนจุดไม้ขีดก้านนึงในความมืด พึ่บ แล้วก็จะจุดพึ่บๆ อยู่อย่างนี้ 

ถามว่ารูปทรงที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ตัวตนที่แท้จริงของขันธ์มียังไง...ไม่มี

ความรู้พวกนี้มันจะสะสมไปเรื่อยๆ โดยการที่สังเกตเฝ้ารู้ด้วยความแยบคาย กับการไป การมา การเกิดที่หนึ่ง ดับที่หนึ่ง แล้วไปเกิดอีกที่หนึ่ง...  

ดับทางกายไปเกิดทางตา ดับทางตามาเกิดทางหู ดับทางหูมาเกิดทางคิด ดับทางคิดมาเกิดทางสบาย ดับทางสบายมาเกิดทางทุกข์ ดับทางทุกข์มาเกิดทางเฉยๆ ดับเฉยๆ มาเกิดทางสุข ดับทางสุขมาเกิดทางกังวล ดับทางกังวลมาเกิดทางผ่องใส 

มันเปลี่ยนไปมาๆ เห็นป่าว ...มันจะเห็นเลยว่าขันธ์นี่ไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน ตัวตนที่แท้จริงไม่มี รูปลักษณ์ที่แท้จริงของขันธ์ไม่มี ...อยู่อย่างนี้

อย่างที่เราเปรียบให้ฟังบ่อยๆ ว่าเรามีแป้งอยู่ในมือแล้วเราโยนขึ้นในอากาศ มองดูสิ เห็นมั้ย เห็นแป้งลอยในอากาศมั้ยล่ะ แค่นั้นน่ะ ...แล้วสุดท้ายเป็นไง ขันธ์ห้าคือแค่นั้นแหละ การเกิดดับของมันน่ะ เป็นอย่างนั้น

ถามว่ารูปทรงของแป้งที่อยู่ในอากาศ ที่แท้จริงมันคืออย่างไร ใครบอกได้มั่ง  มันก็ได้เห็นแค่มัน เออ พอเห็นแว้บๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น  แต่ว่ารูปทรงที่แท้จริงมันคืออะไร ตัวตนที่แท้จริงของมันมีอยู่ไหม ... แล้วมันก็เกิดซ้ำซากๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ต่อเนื่องกันไป

เพราะนั้นตัวที่ผลักดันให้ขันธ์นี่ต่อเนื่องก็คือกรรม วิบาก เหตุและปัจจัย  นิสสยปัจจโย อารัมณปัจจโย  กัมมปัจจโย วิปากปัจจโย ธาตุปัจจโย อากาศปัจจโย ...หลายอย่างที่มันปัจจโยหล่อเลี้ยงมันอยู่ ให้มันยังต่อเนื่อง สืบเนื่องกันต่อไป

ดูมันเข้าไป รู้มันลงไป ... ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปหาอะไรมาก  สังเกตดู ด้วยสติในปัจจุบัน 

ในขณะที่ดูแล้วมันไม่เปลี่ยน หรือไม่เห็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ...น้อมมันเข้าไป ให้เห็นว่ามันเป็นเราไหม มันมีหน้าตา มีหนวดมีเครา มีผม มีสีสันเหมือนหน้าเราอย่างที่เราคิดมั้ย

แข็งๆ ไหวๆ นิ่งๆ ขยับๆ อย่างเนี้ย ... เอากายเป็นหลักก่อนเลย รู้มันลงไป ...ง่ายจะตายชัก ไม่เห็นมันยากเลย (โยมหัวเราะกัน)

อ้าว ก็ดูสิ  หนาวๆ นี่มันเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชายมั้ยนี่  เย็นๆ อยู่นี่ ดูมันลงไปสิ ...เห็นความจริงอยู่ทนโท่ ยังมาบอกว่าของกูๆ นี่คือเป็นเราๆ เป็นเราได้ยังไง  

พอมันบอกว่าเป็นของเราเมื่อไหร่ ให้รู้ไว้เลยนี่เป็นส่วนของนาม หรือทิฏฐิความเห็นหนึ่งเท่านั้นเอง ...ไอ้แข็งๆ มันไม่พูดนะ ใช่ป่าว มันแสดงปฏิกิริยาตรงไหนที่ว่าเป็นของเราตัวเรามั้ย นั่น ...ก็เห็นอยู่ทนโท่


โยม –  แล้วจิตผู้รู้ล่ะครั้บ

พระอาจารย์ –  ทำไมเหรอ


โยม –  มันรู้สึกว่าจิตผู้รู้เป็นเรา

พระอาจารย์ –  ก็ใครที่เห็นว่าผู้รู้เป็นเรา มีรึเปล่า มีอีกตัวที่เห็นรึเปล่า เห็นมั้ย เห็นมั้ยว่าเป็นเราน่ะ เห็นมั้ยว่าจิตผู้รู้เป็นเราน่ะ


โยม –  มันก็รู้สึกอย่างนั้นตลอดน่ะฮะ

พระอาจารย์ –  ตลอดก็ช่างมัน มันมีเห็นมั้ยล่ะว่าผู้รู้เป็นเรา


โยม –  คือถามว่าเห็นรึเปล่า มันรู้สึกน่ะฮะพระอาจารย์ มันพูดไม่ถูก

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ก็ไอ้ตัวที่รู้สึกว่ามันเป็นเราอ่ะ แล้วมันมีอีกตัวนึงที่เห็นว่ารู้สึก ตัวนั้นแหละใจ เพราะนั้นไอ้ที่รู้สึกว่าผู้รู้เป็นเราน่ะ มันเป็นแค่ความเห็นหนึ่ง ก็คนที่เห็นว่ารู้สึกผู้รู้เป็นเรา ...มันมี

ดู ...ถอย ไอ้เสือ ...เข้าใจคำว่าโอปนยิโกมั้ย  น้อมกลับอีก น้อมกลับ ...มันมีคุมอยู่อีก ที่เห็นว่าจิตกูอ่ะ


โยม –  คือผมไปอ่านหนังสือของลุงหวีด บัวเผื่อน แล้วคล้ายๆ เวลาไปรู้อะไรปุ๊บ เราไปเกาะสิ่งที่ถูกรู้น่ะ  พอปล่อยตรงนู้นปุ๊บ มันก็กลับมาอยู่กับผู้รู้ มันก็อยู่อย่างนี้ตลอดครับ

พระอาจารย์ –  ก็ใช่น่ะสิ ก็ผู้รู้น่ะมันเป็นใหญ่เป็นประธานอยู่ ... แต่คราวนี้ว่าความหมายมั่นในตัวของมันเองน่ะ มันยังมีอยู่  ตัวนั้นเรียกว่าอัตตา...ว่าเรา ผู้รู้เป็นเรา ใช่ป่าว


โยม –  ใช่ครับ ...ก็รู้อันนี้ไปเรื่อยๆ

พระอาจารย์ –  รู้ไปเรื่อยๆ มันมีอีกตัวนึงที่เห็น ...มันมีอีกตัวนึงที่เห็น...ญาณ  มันมีญาณทัสสนะที่ส่องลงมาดูอยู่ว่าเรารู้  ใครอ่ะ ...ไม่งั้นตัวมันพูดไม่ได้หรอก นะ


โยม –  ครับ ไม่ต้องไปดูตัวนั้น รู้แต่ตรงนี้อย่างเดียว

พระอาจารย์ –  ใช่ อยู่ที่เห็น...อยู่ที่เห็น  ไม่ได้อยู่ที่ความเห็นว่ารู้นี้เป็นเรา ...เพราะนั้นมันเป็นแค่อาการหนึ่งของผู้รู้เท่านั้นเอง คนที่เห็นว่ามันเป็นเราน่ะอีกตัวหนึ่ง ใจเรา คนที่เห็น มันมีอีกตัวหนึ่งที่เห็นว่าใจเราน่ะ 

นั่นแหละ ไม่มีคำพูด...ตัวนั้น ตัวนั้นไม่มีคำพูดๆ  ถ้าตัวที่มีคำพูดนี่คืออาการของจิต ยังเป็นอาการของใจอยู่ ไม่ใช่ผู้รู้ ...และแม้แต่ผู้รู้ก็ยังไม่ใช่ใจ เพราะมันยังมี “ผู้” อยู่ ใช่ป่าว


โยม –  ใช่แล้วครับ

พระอาจารย์ –  ถ้ามันยังมีเป็น “ผู้” เป็นคนอยู่ มันก็ยังเป็นตัวเป็นตนหนึ่ง เข้าใจมั้ย   ตัว “ผู้” นั่นแหละคือเรา...ในลักษณะหนึ่งของอัตตา นะ

เพราะนั้น ใจ...นิ่งเหมือนเป็นใบ้ มีแค่รู้และเห็น ไม่มีใครรู้ใครเห็น นะ ... ไม่มีเป็น “ผู้” หรอก ไม่มีเป็นผู้เป็นตัวหรอก  ไม่มีเป็นจุด ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่หมาย ไม่มีใน ไม่มีนอก ไม่มีรูปพรรณสัณฐาน  

เห็นมั้ย ตัวของโยมยังมีรูปพรรณสัณฐาน ใจโยมก็ยังมีรูปพรรณสัณฐานอยู่ ใช่ป่าว ยังมีที่ตั้งอยู่ใช่มั้ย


โยม –  ใช่ครับ

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย นั่นแหละคืออาการ ...แล้วใครเห็นนั่นล่ะ นั่นแหละ


โยม –  ยังไปไม่ถึงครับ

พระอาจารย์ –  เออ อยู่งั้นน่ะ แล้วมันจะฉีกตัวเองออกมาเอง ด้วยการหยั่งลงไปเฉยๆ ...อย่าสงสัย หยั่งลงไปตรงนั้นแหละ ด้วยศีลสมาธิปัญญารวมลงไปตรงจุดนั้น ที่ใจที่รู้ตรงนั้น...ที่เดียว 

ไม่ต้องไปหางานอื่นทำ ...อย่าไปรับจ๊อบนะ อย่ารับจ๊อบนะ เดี๋ยวมันจะไปติดเงินเดือน ติดโอที   พวกนี้มาตายกับโอทีน่ะ บอกให้เลย ... งานหลักไม่ทำ ชอบรับจ๊อบ แล้วเอาจ๊อบเป็นงานหลักไปแล้ว  

ประเภทไปสอดส่องสังเกตการณ์ ช่วยเหลือเผื่อแผ่เจือจาน สรรพสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด ...ตัวเองทุกข์จะตายห่า ยังไม่รอดเลย (โยมหัวเราะกัน) จะให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขก่อนแล้ว

กลับมาที่อันเดียวก่อนให้ได้ ...ให้มันลืมตาอ้าปากก่อน นะ  ลืมตาอ้าปากให้ชัดก่อน  แล้วค่อยว่ากันอีกที จะเอาไงกับมันต่อดี  จะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานเลย หรือจะออกมาโปรดสัตว์ ก็ว่ากันต่อ ว่ากันไปตามเหตุและปัจจัย

ต้องเอาตัวเองให้แจ้งก่อน ...รู้จริงนิ่งเป็นใบ้ รู้ไม่จริงเสียงมันดัง 

เคยเห็นหม้อใหญ่ๆ มั้ย ข้างในมันกลวงๆ น่ะ  ลองเอามือเคาะสิ เป๊งๆ ป่องๆ  อีกหม้อนึงน้ำเต็มเลย เคาะไปสิ ไม่มีเสียง บึ่บๆ เงียบ ...ยิ่งเต็มยิ่งเงียบ ยิ่งพร่องยิ่งดัง

จนความรู้มันแจ้งแล้ว เต็มแล้วนี่ ไม่มีอะไรจะพูดเลย ... มันจะออกไปตามธรรม โดยธรรม และเป็นธรรม...เอง  ไม่มีใครเป็นผู้แสดง ไม่มีใครเป็นผู้รับ ไม่มีใครเป็นผู้สอน ไม่มีใครเป็นผู้ฟัง แต่เป็นโดยธรรม

คำว่าโดยธรรม เห็นมั้ย เงียบมั้ย ... (เสียงของสัมผัส) ดังมั้ย  นี่ ตามเหตุและปัจจัยจะเป็นอย่างนี้ นี่ โดยธรรม เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นผู้กระทำ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ...โดยปกติแล้วเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่หมดแล้ว ไม่มีแล้ว

ไม่ใช่มันยังมีลูกตาคอยส่อง "กูจะทำอะไรต่อดี กูจะหาใครมาอะไรกับกูดีวะเนี่ย  จะโปรดใครดีวะ" ... เข้าใจรึเปล่า มีความหมายเป็นยังไง

กลับมาทำความแจ้ง ...เบื้องต้นแจ้งกายก่อน แจ้งในขันธ์ห้า  แล้วใจมันจะถอนออกมาเป็นผู้รู้ผู้เห็นที่คู่กับสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น  แล้วมันจะยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ ในสิ่งที่รู้ที่เห็น  

เพราะนั้นสิ่งที่รู้ที่เห็นที่ห่างออกไปเรื่อยๆ คืออะไร คือขันธ์ห้า กับอายตนะหก  ...มันจะถือว่าเป็นคนละส่วนกันเลย จะเหลืออยู่ส่วนเดียว ตรงนี้คือผู้รู้ผู้เห็นหรือใจรู้ใจเห็น

จากเป็นผู้รู้ผู้เห็น ต่อไปก็เหลือแต่สภาวะรู้สภาวะเห็น ...ต่อไปจากสภาวะรู้สภาวะเห็น ก็เหลือเป็นแค่ธาตุรู้ธาตุเห็น ...จากธาตุรู้ธาตุเห็นต่อไปก็เหลือแค่ว่าจับต้องแทบไม่ได้เลย อะไรวะ เป็นต่อม เป็นจุดนิดนึง ไปเรื่อยๆ ของมันเองนะ

แล้วตอนนั้นไป มันไม่รู้จะไปรู้อะไรแล้ว มันหมดเรื่องที่จะไปรู้แล้ว  เพราะมันไม่มีผู้รู้ผู้เห็น สภาวะรู้สภาวะเห็น ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องไปรู้ไปเห็นอะไรแล้ว ...นั่นแหละ ค่อยว่ากันใหม่

ตอนนี้ต้องทำความแจ้งในขันธ์ห้าก่อน  เพราะขันธ์ห้าเป็นสิ่งที่ห่อหุ้มใจ เป็นสิ่งที่ปกปิดใจ  เพราะในขณะที่มันห่อหุ้มใจ ปกปิดใจนี่  ธรรมชาติของใจที่ยังเป็นใจ มันยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน นอนเนื่องอยู่ภายใน

เมื่อมันรับรู้กับขันธ์ มันไม่ได้รับรู้ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติรู้หรือปกติรู้  แต่มันจะออกมารู้ด้วยอาการหมายมั่นตามตัณหาและอุปาทาน ...มันจึงดูเหมือนว่าขันธ์นี่ปกปิด หรือปิดบังใจอยู่

ต้องทำความแจ้งในขันธ์ก่อน ใจมันก็จะคลายออกจากความหมายมั่นในขันธ์ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ว่ามันเที่ยง ว่ามันอยู่ในอำนาจของเรา

ให้มันปล่อยไปเรื่อยๆ ใจมันก็จะลอยออก แยกออกจากขันธ์ ... มันแยกออกเองนะ แยกออกโดยธรรมชาติ ... แต่เบื้องต้นเลยต้องบังคับให้มันแยก...ในลักษณะของการเจริญสติเยอะๆ  

ถ้าไม่เจริญปุ๊บ สังเกตดู...ใจอยู่ไหนไม่รู้  ไม่รู้อยู่ไหน มันหายไปในอากาศแล้ว มันหายไปในความคิดน่ะ มันหายไปอยู่ในอดีต-อนาคตน่ะ มันหายไปอยู่กับพ่อแม่ กับแฟน กับคนรอบข้าง มันหายไปกับเหตุการณ์น่ะ 

มันหายไปไหน มันหายไปทั้งวันน่ะ มันมีเรื่องให้หายเยอะแยะเลย ...ตามหาใจให้เจอ...ด้วยสติ  ไม่ใช่ไปนั่งวิจัย ทำธีสีท "ใจกูอยู่ไหนวะเนี่ย" ...ไม่ใช่ หาไม่เจอนะด้วยธีสีท ด้วยการวิจัยค้นคว้าแสวงหา ยิ่งหายิ่งไกลออกจากใจนะ

เพราะนั้นวิธีแสวงหา พระพุทธเจ้าท่านให้ไว้แล้ว...คือศีล สมาธิ ปัญญา ...เพราะว่าศีลสมาธิปัญญา จะเป็นตัวมรรค หรือว่าตัวที่แยกใจออกจากอาการของขันธ์

เอ้า พอพูดถึงศีลสมาธิปัญญา กลับไปรักษาศีลใหม่อีกแล้ว ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ... "เอาศีลอะไรดีวะนี่ สมาธิเดี๋ยวกูก็ต้องไปนั่งเอาให้เป็นให้ตายก่อน แล้วก็มานั่งพิจารณา" ... ไปงั้นอีก

ศีล คือความหมายของคำว่าปกติ  พูดว่าปกติก็ยากอีก  เอาแค่ศีลห้า ...ศีลห้าที่เราหมายถึงนี่ ไม่ใช่ไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก กินเหล้า ...ไอ้นั่นมันห่างไป

ศีลห้าที่เราพูดนี่คือ ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง ...ห้ามั้ย นี่ รักษาศีลห้านี้ให้ได้ก่อน  เป็นปกติกับศีลห้านี้ อย่าให้หาย อย่าให้ขาด นี่ถือว่ามีศีลแล้ว ... สองร้อยยี่สิบเจ็ดเยอะไป อย่าไปรักษา  สิบก็เยอะ แปดก็เยอะ...หิวว่ะ (หัวเราะกัน) ...เอาศีลห้าพอ

ศีลห้าที่ว่านี่คือศีลธรรมชาติ...มี ทุกชาติทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกความเชื่อ มีหมด เท่ากัน เสมอกันนะ ศีลห้านี่ นอกจากคนบ้า คนโง่ คนตาบอดหูหนวก พวกนี้ไม่รู้ไม่มีศีลห้า 

แต่พวกเราเกิดมานี่มีโอกาสแล้ว มีบุญแล้ว ถึงมีศีลห้าครบถ้วนน่ะ  แต่ไม่ยอมรักษากัน มัวแต่ไปรักษา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ นี่ว่าเจริญศีลอยู่ รักษาศีลอยู่

อาตมาถามหน่อย ตอนนี้ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ใช่ป่าว ...เออ ปัญญามันเกิดตรงไหนนี่ สมาธิมันตั้งมั่นตรงไหน ... อย่างว่า

"ก็ผมก็รักษาศีลอยู่นี่ ผมไม่เห็นได้ฆ่าสัตว์ ทำไมสมาธิไม่เกิด พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วศีลสมาธิปัญญา เมื่อมีศีล สมาธิเกิด แล้วปัญญาตามมา  

ก็ผมไม่ได้ฆ่าสัตว์ตอนนี้ ทำไมสมาธิผมไม่เห็นมาเลย ผมไม่ได้โกหกนะเนี่ย ทำไมปัญญาผมไม่เกิดสักที ผมไม่เห็นแจ้งในอะไรสักอย่าง มีแต่โง่ๆๆ รักษาศีลเต็มที่เลยนะเนี่ย" 

แต่พอบอกว่า ตีความ...ตีความหมายใหม่ เอาศีลว่าศีลห้า ขาสอง แขนสองหัวหนึ่ง นี่ ศีลมีอยู่แล้ว แต่ไม่รักษา คือกายอันนี้ อย่าให้ขาด อย่าให้ศีลกายขาด ศีลห้าตัวกายนี่อย่าขาด ...คือให้ไปไหนต้องมีอยู่ด้วย รู้กายอยู่ตลอด

พอกลับมารู้กายตรงนี้ อย่างที่เราบอก...รู้กายตรงๆ นะ รักษาศีลตรงๆ นะ  แข็งๆ อ่อนๆ ไหวๆ  นี่ มีศีลแล้ว ปกติของศีลปรากฏแล้ว ...รักษาอยู่ สติรักษาอยู่  เออ มีศีลแล้ว เห็นมั้ย 

แล้วเห็นอะไร เห็นความตั้งมั่นมั้ย เห็นความตั้งมั่นในปัจจุบันมั้ย สมาธิเกิดแล้ว แค่เห็นตรงนี้ เห็นแข็งๆ อ่อนๆ นี่

ถ้าไม่ตั้งมั่น มันไม่เห็นหรอก ถ้าไม่รักษาสติตัวนี้มันก็ไม่เห็น มันก็ไม่ตั้งมั่น เห็นมั้ย  เออเฮ้ย รักษาศีลนี้ สมาธิเริ่มมาแล้วโว้ย เริ่มตั้งอยู่ในที่อันเดียวแล้ว อยู่ในแข็งๆ อ่อนๆ ไหวๆ หนาวๆ ร้อนๆ

แล้วก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ามันเป็นเรา มันเป็นของเราตรงไหน เขาแสดงความเป็นจริงอยู่ทนโท่ตรงนี้ เห็นป่าว ปัญญาเกิดป่าว  ศีลสมาธิปัญญาก็เกิดแล้ว ...ไอ้นี่ยังไม่ได้สมาทานศีลบัญญัติสักข้อเลยนะเนี่ย

ศีลห้าก็ยังไม่มี ศีลห้าที่เป็นศีลบัญญัติ แบบไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ฯ  ศีลแปดก็ไม่ต้องพูดถึง สองร้อยยี่สิบเจ็ดก็ไม่ถึงเลย ...อ้าว ทำไมปัญญาดันเกิดวะ เออ เอากะมันดิ

รักษาศีลให้ตรง ...คือศีลมีอยู่แล้ว  เพราะนั้นถ้าพูดถึงศีลกายตัวนี้ เห็นมั้ย ศาสนาพุทธจะเป็นสากลทันที  เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้น ศาสนาของท่านเป็นกลาง เป็นสากล ทุกชาติทุกศาสนามันเสมอกันหมดแหละ

แต่ว่าปรับความเห็นให้ตรงด้วยการที่ว่า ...ให้รักษากายอย่างนี้ ให้มั่นคงอยู่กับกายนี่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบอกเลย ไม่ต้องบอกว่าต้องมานั่งสมาธิ ต้องเกิดความสงบ หรือไปพิจารณาให้เห็นอสุภะอสุภังหรืออะไรก็ตาม 

ให้มันรักษาศีลกายตัวนี้นี่ เอาเหอะ ดีไม่ดีมันถึงนิพพานก่อนพุทธศาสนิกชนซะอีก บอกให้เลย เอามั้ย ท้ากันมั้ยล่ะ ท้าพิสูจน์เลย 

ขอให้มันตั้งมั่นลงในศีลนี่ ศีลห้าศีลกายนี่แหละ ดีไม่ดีมันไปนิพพานก่อนพุทธศาสนิกชน อุบาสกอุบาสิกาภิกษุและภิกษุณีซะอีก  เพราะอุบาสกอุบาสิกาภิกษุภิกษุณี มัวแต่นุ่งขาวห่มขาว ไปถือสันโดษ ไปถือวิเวก

รักษาศีลแบบ ... "อุ้ย ตายแล้ว วันนี้เหยียบมด ต้องปลงอาบัติ  ...อุ้ย โกหก จิตชั้นตกแล้ว ชั้นเสื่อมแล้ว ชั้นจะไปไม่รอดแล้วมั้งนี่ ปิดมรรคปิดผลปิดนิพพานแล้ว" โอย เดือดร้อน นั่งชำระศีลทั้งวัน 

ชำระในสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ... "แล้วกูจะแก้มันยังไงดี  มันพลาด มันพลั้ง มันเผลอไปแล้ว" ... นั่งกังวลนะ กังวลนี่ ความกังวลนี่กังวลถึงข้ามชาติได้นะ บอกให้เลย เพราะสิ่งที่ตกไป ...ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรตกหล่นบกพร่องเลย

หัวก็ยังอยู่ ขาก็ยังอยู่ แขนก็ยังอยู่ มันขาดตรงไหนวะ หือ ไม่ขาด ...ขาดสติต่างหาก ไม่รักษากาย  นี่ ขาด ขาดจากศีลแล้ว ทะลุ บกพร่อง ด่างพร้อย ล่วง ละเมิด

นี่ ทั้งวัน กับกายนี้ ปล่อยมันไปไหนล่ะ ปล่อยได้เหรอ  พระพุทธเจ้าบอกรักษาศีลยิ่งชีพน่ะ ...ไม่ใช่ไปถือกล้องจุลทรรศน์คอยส่องมด กูจะเหยียบรึเปล่าวะ เนี่ย รักษาศีลยิ่งชีพแบบนี้ บ้ารึเปล่า

แต่ต้องรักษา ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง เนี่ย อย่าให้ขาด ...รู้ลงไป ดูลงไป ตั้งมั่นอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องถามหาสมาธิ ปัญญาเลย ว่าคืออะไร จะเกิดความรู้อะไร ...มันเห็นตามความเป็นจริงของกายนั่นเอง

แข็งๆ อ่อนๆ นุ่มๆ น่ะ น้อมดูลงไปดิ...มันเป็นชายมันเป็นหญิงตรงไหน มันเป็นเราตรงไหน หือ บ้าบออะไรกับมันนักหนา หน้ามันเหมือนเรามั้ยไอ้หนาวๆ ร้อนๆ นี่ มันเป็นตัวเราได้ยังไง ไหวๆ นิ่งๆ นี่อ่ะนะ

เห็นความบ้าของจิตมั้ย จิตมันโง่ มันไม่รู้  ไปจับอะไรลมๆ แล้งๆ มาเป็นตัวเป็นตน มาเป็นอะไรก็ของกู อะไรก็ตัวกู ...เป็นตรงไหน มีตรงไหน อาการตรงไหนว่าหน้ามันเหมือนเราเป็นเรา ...นี่ ดูมันไปสิ รักษาศีลตัวนี้ตัวเดียวนี่...ถึงนิพพาน

เคยไปทำบุญสังฆทานมั้ย เวลาพระให้ศีลน่ะ ท่านก็จะบอกว่า สีเลนะ สุขติง ยันติ ใช่ป่าว ศีลจะทำให้เกิดความเป็นสุข  สีเลนะ โภคะสัมปทา ศีลจะทำให้เกิดโภคทรัพย์ คืออริยทรัพย์  จนกระทั่ง สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลนี่แหละทำให้ถึงนิพพาน

พวกเรายังถามเลย "อิชั้นไม่ได้โกหกเลย ทำไมไม่ถึงนิพพานสักทีคะ"  อุตส่าห์รักษาแทบตาย โง่ซ้ำซาก ไม่เข้าใจ ...นี่คือความไม่เข้าใจศีล

ที่พูดนี่เราไม่ได้มาละเมิดศีลเขานะ แต่เราพูดให้เข้าใจว่าในความหมายของไตรสิกขาจริงๆ คืออะไร  ศีลสมาธิ ปัญญา คืออะไร ...ไม่ใช่ความคิดความเห็นรูปแบบที่สร้างขึ้นมา 

เพราะนั้นถ้าสร้างขึ้นมา รูปแบบนั่นแหละคือตัวปกปิดศีลสมาธิปัญญาเต็มๆ ... มันไม่เข้าใจแล้วยังดันทุรัง แล้วก็มาเถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ...เสียเวลา

มาทำความแจ้งในขันธ์นี่ ทำความแจ้งในความเห็น ทำความแจ้งในสิ่งที่ปรากฏว่า...มันคืออะไร ทำไมมาจริงจังๆ กับอะไรก็ไม่รู้ที่หาสาระแก่นสารไม่ได้ ไม่มีประโยชน์

เนี่ย เดี๋ยวก็ได้เรื่องแล้ว ได้เรื่อง เป็นเรื่อง เห็นเรื่องแล้ว ว่ามันไม่มีอะไร มันเป็นแค่สภาวะธาตุ ส่วนนามหรืออารมณ์ความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้ นี่คือแค่สภาวธรรม นะ  

ไปๆ มาๆ ขันธ์ห้ากลายเป็นแค่...จากรูปและนามก็เหลือกลายมาเป็นสภาวะธาตุ สภาวธรรมที่อยู่ร่วมกัน และมีใจที่เฝ้าดูสังเกตอยู่ แค่นั้นเอง ...มีเราตรงไหน ฮึ

ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นสภาวะธาตุ มันเป็นเราตรงไหน  สภาวธรรมล่ะ มันเป็นเราตรงไหน ... อย่าว่าแค่สภาวะธาตุสภาวธรรมที่หมายว่าเรียกว่าขันธ์นี่เลย  สภาวะธาตุสภาวธรรมในสามภพน่ะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็คือสภาวธรรมหนึ่ง สภาวะธาตุหนึ่งเท่านั้น

มีเราตรงไหน ของเราตรงไหน ... มันมีโซ่มาล่ามเอาไว้รึเปล่า หือ หรือมันบอกว่า แสดงว่านี่เป็นสมบัติของคนใดคนหนึ่งมั้ย 

ทำไมต้องไปแบก ทำไมต้องไปหาม ทำไมจะต้องไปเสียดาย ทำไมจะต้องไปรักษา ทำไมจะต้องไปหวงแหน ทำไมจะต้องไปแสวงหา ...มันมีแต่ทำไมกับทำไม

 What , when , where , why , how ไม่เคยทัน  ...มีแต่จะออกไปหา ออกไปมี ออกไปเป็น ออกไปได้ ออกไปหวงแหน ออกไปจัดการ ออกไปข้องแวะ ออกไปคลอเคลีย ออกไปแสวงเอา ออกไปครอบครอง

มีแต่ออกไปเอามาเป็นสมบัติของตัวเองทั้งนั้นเลย


(ต่อแทร็ก 3/8 ช่วง 3) 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น