วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/9


พระอาจารย์
3/9 (531230B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
30 ธันวาคม 2553


พระอาจารย์ –  ใครมันจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าวะ ว่ามีวิธีอื่น ฮึ  ทุกพระพุทธเจ้าท่านก็เห็นอย่างนี้ ... ดูสิ วันตรัสรู้ท่านน่ะ วิชชาสาม เริ่มจากปุพเพฯ

ของพวกเราก็มีปุพเพฯ น่ะ ...แต่ว่าปุพเพฯ ของพวกเราน่ะ วันนึงมั่ง คืนนึงมั่ง เดือนนึงมั่ง  นี่ สัญญา น้อมลงไปสิ ทำอะไรมามั่งในวันนี้  ดู อย่างนี้ ผ่านมา ตรงไหนจุดบกพร่อง คือตรงนี้

ของพระพุทธเจ้าท่านก็น้อม พิจารณา...ตัวเรามาจากไหนเนี่ย  นึกถึงการเกิด ... แต่ว่าด้วยกำลังสัพพัญญุตญาณของท่าน พั่บ มันรวด พรวดเลย มันทะลุชาตินี้เลยน่ะ ...มันไม่ใช่แค่วันเดือนปีที่ผ่านมานะ สัญญาท่านพรวดทะลุไปเลย  อู้หู ไม่จบเลย ปุพเพฯ ท่านนะ  

ยามแรกสามชั่วโมงนั่นน่ะ พั่บๆๆ เกิด-ตายๆๆๆ  โอ้โห การเกิดเป็นนั้นเป็นนี้มาๆ ทั้งมีรูปทั้งไม่มีรูป ทุกขันธ์สี่ขันธ์ห้า มีขันธ์ ไม่มีขันธ์  หูย เยอะแยะเต็มไปหมด พึ่บเลยว่าการเกิดท่านไม่รู้จักจบเลย ...เบื่อเลย เบื่อการเกิดเลย เริ่มเบื่อแล้ว แต่ปัญญายังไม่เกิด

พั้บก็...แล้วทำไมถึงเกิดเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมเกิดไม่เหมือนกันล่ะ ...เนี่ย ปัญญาเริ่มเกิด ฉุกคิดขึ้นมา เห็นทำไมมันเกิดไม่เหมือนกัน  เดี๋ยวเป็นคน เดี๋ยวเป็นสัตว์ เดี๋ยวเป็นเทวดา เดี๋ยวเป็นพรหม เดี๋ยวเป็นคนธรรมดา เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เดี๋ยวเป็นยาจก 

ก็เอ ทำไมเกิดไม่เหมือนกันนะ พั่บ เริ่มจุตูปปาญาณเกิด  อ้อ กรรมๆ  ทำอันนี้...ได้อย่างนี้ มันส่งผลเกิด ...พั่บ รวดอีก อเนกชาติเลยคราวนี้ เห็นการเกิดการตาย  ถ้าทำอย่างนี้...เกิดอย่างนั้น ทำอย่างนี้...ไปตายอย่างนี้แล้วไปเกิดตรงนั้นตรงนี้  โอ้โห อีกยามนึง สามชั่วโมง ยังทวนไม่จบเลย

นี่ สัพพัญญุตญาณนะ ยังทวนไม่จบเลย ...เบื่อ ไม่รู้จะรู้ไปทำไม เบื่อ เพราะมันไม่จบน่ะ มันไม่จบ  การเกิดการตายมันเหมือนกับวงกลมน่ะ เป็นวัฏฏะนี่ไม่มีที่สุดหรือว่าจุดเริ่มต้น มันไม่จบ

พอไม่จบท่านเริ่มระลึกรู้ขึ้น จะดูไปต่อทำไม ดูเท่าไหร่ก็ไม่มีคำว่าที่สุดของมัน ท่านก็ระลึกขึ้นมา ในปัญญาระลึกขึ้นมา พั้บ ...จะไปดูทำไม 

แล้วไอ้คนที่ดูอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่ดูตรงนี้ ...แล้วตัวนี้ ตายจากนั่นถึงเกิดผ่านมา ถึงมาเกิดตรงนี้ จากนี้ไปแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร ...ก็เริ่มจากตรงนี้ เนี่ย ท่านฉุกคิด กลับมาลงในขันธ์ปัจจุบัน

ก็เรื่องอะไรจะไปหยั่งดูสอดส่องตรงนั้นล่ะ ก็มารู้ตรงนี้ดีกว่า ...ลองดูตรงนี้ซิ ขันธ์ตรงนี้ พั้บนี่ นี่ยามสุดท้าย ปัจฉิมยาม นี่ อาสวักขยญาณ เริ่มเจริญอาสวักขยญาณแล้ว 

พั้บ พอมาลงที่ขันธ์ สอดส่องในฐานะเฝ้ารู้เฝ้าเห็น ดู โอ้ ท่านแยกออกเลย รูป-นาม พั้บๆ แยกออกอีกแล้ว ใจรู้ พั้บๆ เอ้า ทุกนามยังแบ่งออกเป็นสี่ลักษณะไม่เหมือนกัน พั้บๆๆ เอ้า แล้วท่านก็ยังเห็นต่อเนื่องไปถึงอายตนะ ขณะนี้มันมีการรับรู้ภายนอกด้วยอายตนะ พั้บๆ ท่านก็รู้

จากนั้นท่านก็เริ่มเห็น พั้บ เริ่มมีความอยาก เริ่มมีความไม่อยากเกิด ในขณะที่รู้กับขันธ์นี่ ...เอ้า พอเห็นความอยาก-ไม่อยากเกิดปุ๊บ ท่านดู ไล่ดูไปเรื่อยๆ ที่มาที่ไป 

พั้บ ปฏิจจสมุปบาทเริ่ม พั้บๆ ไอ้นี่เกิด...ไอ้นี่เกิด...ไอ้นี่เกิดตามมา... ไอ้นี่เกิดก่อน...ไอ้นี่เกิด พอไอ้นี่เกิด...ไอ้นี่เกิด พั้บๆๆ ไล่ปฏิจจสมุปบาท ...ไล่ไปไล่มา พั่บๆๆ มันมีอยู่ที่เดียว มันกลับมาที่เดียว ปุ๊บนี่ จุดเริ่มต้น ไม่ว่านาม ไม่ว่ารูป ไม่ว่าขันธ์ตรงไหนจุดไหน ไม่ว่าอายตนะไหน พั้บๆๆๆ

ท่านเห็นจุดเริ่มต้นที่เดียว...ใจ  ตรงนี้น่ะเริ่มแล้ว นี่แหละ ตรงนี้แหละ เหตุใหญ่เลย จุดเริ่มต้น ดูซิมันจะเป็นยังไงตรงจุดเริ่มต้น หยั่งลงไปตรงที่นั้นแหละ ที่แรกน่ะ...ด้วยญาณทัสสนะ ด้วยศีลสมาธิและปัญญา เพียรเพ่งอยู่ในที่นั้น ใจดวงเดียวเท่านั้น

ใกล้แจ้งนั่นแหละ ไม่เหลือหรอ เข้าใจเลย ไม่เหลืออะไรเลย เข้าใจ แจ้ง...ใจมันแจ้งหมด หลุดออกจากกรงขังของใจ  ใจมันเป็นกรงขังนึงนะ สุดท้ายแตกออกหมด พั้บ กระจายออกหมดไม่เหลือหรอ สิ้นภพสิ้นชาติขาดกันตรงนั้น

ดูดีๆ นะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อย่างนี้ ในอาการลักษณะนี้นะ ...เป็นวิชชาสามล้วนๆ เลยนะ ไม่มีเห็นเป็นอสุภะเลยนะ ไม่ได้เกิดจากการนึกคิดพิจารณาเลยนะ เป็นญาณที่หยั่งลงไป หาที่มาที่ไปด้วยญาณทัสสนะเท่านั้นเอง


เรียนรู้ ...การปฏิบัติ อย่าสงสัย  ตั้งลงไปในจิตปัจจุบัน รู้ปัจจุบันเท่านั้นแหละ ความจริงไม่หนีไปไหนหรอก เขาแสดงให้เราเก็บเกี่ยวอยู่ตลอด  

เอากายเป็นมรรค เอาใจเป็นมรรคอยู่เสมอ เป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึกรู้  แล้วก็เอาสิ่งที่ระลึกรู้นั้นแหละ ทำความแยบคายกับมัน...มีตัวมีตนไหม เป็นตัวเป็นตนไหม คงที่ไหม เสถียรไหม ควบคุมได้จริงไหม ...สังเกตมัน ดูมัน เสมอ

เก็บเกี่ยวกำไรไป จะได้ไม่เสียชาติเกิด จะได้ไม่เสียเวลาที่ผ่านไป เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี เป็นหลายๆ ปี เป็นหลายๆ ชาติ

เกิดมาแล้วทั้งที ได้ยินได้ฟังแล้ว  ขาดอยู่อย่างเดียว คือขาดความตั้งใจใส่ใจ ... มันไม่จริง ปฏิบัติไม่จริง ตั้งใจไม่จริง ...ลูบๆ คลำๆ ไม่มีทาง ไปไม่รอด

ต้องจริง ต้องเป็นคนจริง ทำจริง ปฏิบัติจริง ไม่อ้อแอ้แก้ตัว ไม่เหลาะๆ แหละๆ ไม่อ้างกาลเวลา ไม่อ้างสถานการณ์ใด ไม่อ้างสถานะ ไม่อ้างฐานะ ไม่อ้างเพศ ไม่อ้างสถานที่ ไม่อ้างการงาน ไม่มีอะไรเป็นข้ออ้าง

ตั้งลงไปให้ได้ ให้ต่อเนื่องลงไปในปัจจุบัน ... มันขาดความต่อเนื่อง มันเลยไม่แจ้งสักที ...พระอาทิตย์จะโผล่แล้วก็...เอาอีกแล้ว...ดับ  มันโผล่มาได้นิดนึงแล้ว เอาอีกแล้ว ดับ

จนกว่ามันจะเหมือนกับพระอาทิตย์กลางหาวกลางวันนั่นแหละ ...มันถึงจะเรียกว่าแจ้ง

ไม่ใช่แบบ...เกือบๆ แจ้งแล้ว...เอ้า มืดซะแล้ว  คือ...กลางวันไปไหนวะ (หัวเราะกัน) ...มันมีแต่เช้ากับมืด มีแต่เช้ากับมืด ...เอ๊ะ มันข้ามตอนแจ้งไปยังไง เห็นมั้ย อย่างนั้นแหละ 

ให้มันแจ้ง ถ้ามันแจ้งเมื่อไหร่ก็เหมือนกับพระอาทิตย์กลางวันน่ะ มองอะไรก็เห็นชัดใช่มั้ย เนี่ยๆๆ

ถ้ามันแจ้งแล้วมัน โอ้โห มันไม่ต้องไปถามใครเลยว่า "อิชั้นจะเดินไปตรงนี้แล้วอิชั้นจะเจ็บตัวมั้ยคะนี่ อิชั้นจะเดินชนมั้ยคะ"  ต้องถามมั้ย "อิชั้นควรไปมั้ยนี่ แล้วชั้นจะกลับบ้านยังไงนี่" ... ถ้ามันแจ้งแล้วต้องไปถามใครมั้ยนี่

แต่ถ้ามืดตึ้บ ถามดูดิ๊ จะเจ็บมั้ยนี่ ...เดินเข้าไปสิ เจ็บ  เดี๋ยวก็โดนชน หลง ตกเหว ...เชื่อไม่ได้ 

ถ้ามันแจ้งแล้วใครก็โกหกไม่ได้ ตัวเองก็มองเห็นหมดตลอด ทะลุปรุโปร่งหมดแหละ  ไม่ว่าขันธ์นี้ขันธ์นั้นขันธ์ไหน ขันธ์ใคร ขันธ์คนอื่น ขันธ์อันไกล ขันธ์อันใกล้ ขันธ์หยาบ ขันธ์ละเอียด ขันธ์ประณีต ขันธ์ไม่มี ...มันมาหลอกไม่ได้เลย นั่นเรียกว่าแจ้ง มันแจ้งใจ แจ้งโลกธาตุเลยแหละ

ทำความเพียรเยอะๆ ตั้งใจ ใส่ใจ ...ทุกอย่างไม่ขาดแล้ว ศีลก็มีครบอยู่แล้ว...รักษา  สมาธิและปัญญาก็มีอยู่แล้วเมื่อรักษาศีลได้นานๆ 

ให้มั่นคง ...อย่าให้ขาดตกบกพร่อง อย่าให้มันด่างพร้อย อย่าให้มันทะลุ อย่าไปเผลอไปเพลินกับอาการภายนอก อย่าไปลุ่มหลง เป็นจริงเป็นจัง อย่าไปคิดว่าอย่างนั้นอย่างนี้กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ 

มันไม่มีอะไรหรอก นอกจากรักษาศีลในปัจจุบัน คือกาย ให้มั่นคง ...อย่าทิ้ง อย่าปล่อย อย่าเผลอ อย่าเพลิน จนเกินไป อย่าให้มันทะลุ อย่าให้มันด่างพร้อย อย่าให้มันลืมกายลืมใจ

ไม่นานหรอก ขอให้ตั้งใจจริง ทุกคนน่ะ ไม่นานหรอก  ไม่ยากอย่างที่เคยคิดหรือคนอื่นเขาว่าหรอก ว่าเป็นไปไม่ได้หรือว่าได้ง่ายๆ หรือว่าอะไร  

ถ้ามันทำจริงทำตรงน่ะ มันไม่มีหรอกที่มันจะยากน่ะ มันยากตรงที่ไม่ทำจริง มันยากตรงแค่มาลูบๆ คลำๆ แอ๊ะๆ เอ๊าะๆ ไว้พอมาคุยพอมาเล่นหัวกัน พอมาเสวนาธรรมกัน ...แค่นี้ไม่พอหรอก

ก้มหน้าก้มตาทำ งุดๆๆๆ ทำเข้าไป ...เจริญขึ้นมาสติน่ะ มันไม่ได้ไปเดือดร้อนเบียดเบียนใครหรอก 

ทำเหมือนตัวเองเป็นผ้าขี้ริ้วน่ะ ใครจะเหยียบก็ได้ ใครจะย่ำก็ได้ ใครจะเอาไปเช็ดนั้นเช็ดนี่ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ได้หมด  ผ้าขี้ริ้วเคยพูดมั้ย เคยบ่นมั้ย ...มันมีแต่ซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปฏิกูลได้หมดน่ะ

ทำจิตตัวเองให้เหมือนผ้าขี้ริ้วซะ ...เป็นผู้รับ ด้วยความสงบ ปกติ สันติ เป็นกลาง แค่นี้แหละ ใจมันก็จะเป็นเหมือนแผ่นดินขึ้นมาเอง 

ไม่ใจอ่อนอ้อแอ้แก้ตัว ใจเบา ใจหวิว ใจลอย ใจไม่อยู่กับที่กับทาง ใจไปอยู่กับทางนั้นทางนี้ ใจไปอยู่กับคนอื่นเป็นใจสองดวงผูกใจไว้ด้วยกันงี้น่ะ เออ

ให้มันหนักแน่นลงในปัจจุบัน ต่อเนื่อง เนี่ย ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็จะปรากฏตามความเป็นจริง ...เขาแสดงธรรมให้เราเห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องไปหา ...อยู่กันตรงนี้ มันก็เห็นเอง

เอ้า มีอะไรถาม...ถาม


โยม –  พระอาจารย์คะ ถ้าเห็นความคิดผ่านไปนี่ มันยังไม่พอใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ช่างมัน พอแล้ว


โยม –  เราต้องกลับมาดูที่ตัวรู้ว่ามันเป็นเรามั้ย รึเปล่าคะ

พระอาจารย์ –  ส่วนมากเวลาความคิดดับไป มันจะดับไปพร้อมกับรู้  คือเราไม่มีการรู้ต่อ เข้าใจมั้ย ...มันดับแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นแทนล่ะ


โยม –  แล้วที่พระอาจารย์บอกว่า “หยอดกระปุกให้ได้กำไร” น่ะค่ะ  ที่ว่าเหมือนน้อมกลับไปว่า มันไม่ใช่เรา

พระอาจารย์ –  นั่นคือถ้ามันไม่ทันด้วยปัญญาน่ะ  ...ไม่ต้องกลัว  ก็เห็นว่าการที่มันสลับสับเปลี่ยนน่ะ


โยม –  มันก็เป็นแล้ว

พระอาจารย์ –  เออ ก็เห็นว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นมาแทนความคิดล่ะ มันไปเกิดที่ขันธ์ไหนแทน เห็นมั้ย ความคิดก็ดับไป คือเห็นความดับไปและการเกิดขึ้น 

ขณะนั้นน่ะน้อมให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความไม่คงอยู่ของความคิด เห็นความดับไป นี่หยอดกระปุก ปัญญาเกิดแล้ว

แต่ถ้าลักษณะถ้าอย่างนี้ รู้กาย ดูอาการเคลื่อนไหว เดินจงกรม หรืออะไรอย่างนี้ ดู ความเป็นเรา ...หาฐานดูอย่างนี้

มาจ่ออยู่ในที่อันเดียว ในลักษณะนี้ บางอาการมันไม่ค่อยเปลี่ยน เข้าใจมั้ย มันคงอยู่อย่างนั้น เรียกว่ามันตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวก็รู้ ...ก็น้อมลงไปให้เห็นเป็นไตรลักษณ์

แต่ในลักษณะที่มันผ่านไป ส่วนมากน่ะ เวลามันดับไปปุ๊บนี่เราจะทิ้งเลย ทิ้งสติ ...สติไม่เห็นว่าอะไรตั้งมาแทนน่ะ มันไปรู้กับอะไรแทน...แทนความคิด 

เช่นเฉยๆ นี่ มีเวทนาเกิดขึ้น ก็รู้แล้วว่าความคิดดับเวทนาเกิด เห็นมั้ย เห็นความไม่เที่ยง ...ต้องน้อมให้เห็นพวกนี้นะ ไม่งั้นไม่มีปัญญานะ มันก็เป็นแค่สติธรรมดา ก็รู้ธรรมดา ...สติธรรมดาก็ได้แค่ความสงบ  

สติธรรมดานี่มีก่อนพระพุทธเจ้าอีก มีตั้งแต่พวกฤาษีเลย  ทำไมเขาจะไม่ฝึกสติ ฝึกมาก เก่งด้วย  ฝึกเอาจนคุมจนจิตไม่กระดิกเลย ยังได้เลยน่ะ ทันขนาดแหละ ฌานน่ะ ...แต่ไม่มีปัญญา

เพราะนั้นไม่ใช่ว่าสติเป็นปัญหาตอบโจทย์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ...มันต้องมีปัญญาด้วยนะ คือต้องเห็นในสิ่งที่มันปรากฏว่าเป็นยังไง ทั้งรู้และเห็น เห็นๆ เห็นด้วยญาณทัสสนะลงไป

เอ้า มีอะไรอีกมั้ย ...ไป พอ กลับไปเจริญสติ ตอนนี้ก็ต้องเจริญไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา


โยม –  เดี๋ยวปีหน้ามาใหม่ครับ (หัวเราะและพูดเย้ากันว่าปีหน้าคืออีกไม่กี่วันเอง)

พระอาจารย์ –  มาแล้วก็ให้เกิดความเข้าใจ ชัดแจ้ง อยู่ในความเห็นที่มันตรงเข้าไปเรื่อยๆ ...สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรหรอก มีแค่ใจรู้ดวงเดียวเท่านั้น สำคัญที่สุด


..................................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น