วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 3/11 (2)


พระอาจารย์
3/11 (540101B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มกราคม 2554
(ช่วง 2)

(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 3/11 ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นว่าในยุคนี้สมัยนี้ การเจริญสติ...มันเหมาะกับคนในยุคนี้ 

เหมาะยังไง ...สมัยนี้ผัสสะ ความประณีตของผัสสะ การรับรู้ทางผัสสะของพวกเรา ...เราถูกปลูกฝังถ่ายทอดรับรู้กับผัสสะที่มากระทบของเรานี่ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุหลายสิบปีนี่  มันเป็นผัสสะที่ละเอียดประณีต 

ความสุขก็เป็นความสุขที่ละเอียดประณีต ...เพราะนั้นความติดข้องในผัสสะทั้งหลายทั้งปวงนี่...มากมายมหาศาล  แม้แต่ไม่ได้ตั้งใจติดมันก็ติด ...แล้วเมื่อติดแล้วนี่ มันไม่หายไปไหนหรอก มันเป็นสัญญา

เพราะนั้นมันเป็นสัญญาอารมณ์ที่เมื่อเวลามากำหนดดวงจิตนี่ เอาเหอะ มีแต่ของที่อร่อยๆ มีแต่ที่ที่สนุกสนาน มีแต่คนนั้นคนนี้  เราเคยไป เคยมา เคยไปดูหนังฟังเพลง เคยไป เฮ้ๆๆ ตามคอนเสิร์ทหรืออะไรก็ตามอย่างนี้ ...มันไม่ลบออกไปจากสัญญาได้ง่ายๆ หรอก

เพราะนั้นจิตจะไม่รวมเป็นหนึ่งได้โดยสมถะโดยตรง  รวมได้ก็ประเดี๋ยวประด๋าว นิดๆ หน่อยๆ ไม่เพียงพอกับการที่จะไปแยกกายยกรูปเป็นนิมิตอสุภะขึ้นมาได้เลย...ยาก มันเลยกลายเป็นของยากขึ้นมา 

เราไม่ได้ว่าคัดค้านเขา แต่เราพูดตามตรง เราพูดจริงๆ ...เราไม่ได้บอกว่าเราดีกว่าเขาไม่ดีกว่า วิธีนั้นดี วิธีนี้ถูกวิ ธีนี้ผิด ...แต่ให้ใช้ปัญญาเลียบเคียงดู

จะไปเทียบกับพระยังไง ...ขนาดพระทุกวันนี้ยังไม่นิ่งเลย บอกให้  เพราะพระสมัยนี้มันก็เด็ก เหมือนอย่างโยมๆ มาบวชนี่แหละ ...มันก็ไม่ทิ้งในสัญญานี่หรอก นะ

เอา ลองว่า ร้อยปีก่อนน่ะ คนอายุสักเจ็ดสิบปีแปดสิบปีขึ้นไป สมัยก่อน หลวงปู่มั่น สายกรรมฐานทั้งหลาย ส่วนมากท่านเป็นลูกชาวนานะ ทางภาคอีสาน...ยุคแปดสิบ-ร้อยปีก่อนน่ะ เอาว่าร้อยปีขึ้นไป ท่านเกิดมา มีอะไรกินมั่ง

เคยได้กินพิซซ่าฮัทมั้ย เคยได้กินเคนตั๊กกี้มั้ย เคยได้กินขนมเอร็ดอร่อยที่เราเคยกินมานับไม่ถ้วนนี่ ...แต่ท่านเคยได้กินมั้ย เคยได้ผ่านรสชาติเช่นนั้นมั้ย มีแต่ข้าวเหนียวจิ้มปลาแดก กะปอมก่า แมงทั้งหลาย อย่างดีก็เนื้อปลา หมูนี่อย่าพูด วันดีคืนดีก็ได้กินไก่สักทีหนึ่ง...

ฟังเพลงได้ไหม มีแต่ โอ้ๆๆ ละเน้อ ความบันเทิงก็ไปแค่งานวัด แค่นั้น ...แล้วรูปนี่ เห็นอะไรสวยงามมั้ย จะเดินไปหากันที เดินกันเป็นวันข้ามป่าทั้งนั้น

เพราะนั้นจิตของท่าน ผัสสะที่ท่านรับรู้รับทราบของท่าน ความปรุงแต่งภายนอกของท่าน ...มาเทียบกับยุคไฮเทคนี่ ต่างกันเยอะนะ  สัญญาอารมณ์ในเรื่องที่เพริศแพร้วบรรเจิด 

ในเรื่องผัสสะนี่ ท่านค่อนข้างจะธรรมชาติมาก ดิบๆ ทื่อๆ ตรงๆ ไม่เพริศแพร้วพิสดาร ไม่วิจิตรพิสดาร น่าลุ่มหลงมัวเมา ...เพราะนั้นหลักธรรมของท่าน กำหนดพุทโธๆๆ ลูกเดียว จิตเวลารวมนี่ เข้าถึงลงถึงอัปปนาได้โดยไม่ยากเลย 

แล้วสามารถรักษาใจ ทรงใจในภาวะต่อเนื่องได้ไม่ขาดสาย  อาจจะยากบ้าง ก็ไม่ยากเหมือนสมัยนี้ บอกให้นะ ...มันต่างกันโดยภาวะกาลเวลา เหตุปัจจัยสภาวะแวดล้อม

เพราะนั้นธรรมในขณะนั้น ความเหมาะสม พอดี...พอดีกับเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ตรงเลยแหละ เช๊ะ เลยแหละ เข้าสู่มรรคผลนิพพานโดยตรงเลย

ล่วงเลยมาๆๆ ร้อยปีแล้วนี่ ...เอาเหอะ พวกเรา ...ให้นั่งสมาธิข้ามคืน เอาไหวไหม ... นั่งแค่ห้านาที ขัดสมาธิเพชรนี่ ก็ “ตายแน่ๆๆ” ครึ่งชั่วโมงนี่ หูย ซี๊ดแล้ว 

นั่งฟังเทศน์หลวงปู่กันนี่ นั่งฟังรอ...ยถา “เมื่อไหร่จะยถา มายัง ยถายังๆ” (หัวเราะกัน) อยู่อย่างนั้นน่ะ อยู่อย่างนั้นแหละ รออยู่อย่างนั้น

เพราะนั้นน่ะ กำลังจิตกำลังใจต่างกันมากนะกับท่าน  เพราะว่าความฟุ้งซ่านรำคาญ ความจดจำในอารมณ์ มันต่างกัน การควบคุมภาวะบริกรรมนิมิตบริกรรมคาถา หรือกรรมฐานใดกรรมฐานหนึ่งเป็นที่ตั้งนี่ ค่อนข้างจะไม่มั่นคงแนบแน่น

มันก็เลยมีลักษณะของการเจริญสติขึ้นมา เพื่อให้ใช้กับชีวิตประจำวัน ...ไม่ใช่เป็นทางเลี่ยง ไม่ใช่เป็นทางออก ไม่ใช่มักง่ายอย่างที่คนเขาว่ากัน ...แต่พิจารณาโดยธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ มีไว้ บอกไว้ ...โดยหลักของมหาสติปัฏฐาน 

รู้กาย รู้อิริยาบถกาย รู้อิริยาบถย่อยของกาย ก็มี ...รู้จิตก็มี จิตหนัก จิตเบา จิตกว้าง จิบแคบ จิตสบาย จิตไม่สบาย ก็รู้ ก็ให้รู้จิต  อารมณ์ก็มี กิเลสโทสะเกิดก็รู้ว่ามีโทสะ ไม่มีโทสะก็รู้ว่าไม่มีโทสะ มีราคะก็รู้ว่ามีราคะ ไม่มีราคะก็รู้ว่าไม่มีราคะ ฯลฯ

ท่านสอนแค่นี้ ให้เจริญสติ แค่นี้ ...มีก็มี ไม่มีก็รู้ว่าไม่มี  ท่านไม่ได้ว่าให้ทำอย่างอื่น ...เวทนาสุข-ทุกข์ รู้ไป เฉยๆ รู้ไป  สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ นี่ เวทนา ...เพราะนั้นมันไม่ได้ออกนอกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย 

เจริญไปเถอะ สติ ให้มากเท่าที่จะมากได้ เต็มกำลังของเรา ...ถ้ามีเวลาว่าง บางทีอารมณ์ดีๆ ใจดีๆ นั่งสมาธิเข้าไป แต่นั่งด้วยการระลึกรู้ รู้ตัว ...ไม่ได้นั่งเอาสงบ ไม่ได้นั่งเอากระดูก เอาซากศพ แต่นั่งเอารู้ 

นั่งเอารู้ๆ ... เอาความรู้ตัว ให้รู้อยู่ ให้มีรู้อยู่ ...นั่ง ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ นั่งหลับตา หรือไม่หลับตายังได้เลย ...นั่ง กูจะนั่งเฉยๆ กูไม่เอาอะไร กูจะรู้อย่างเดียวๆ ไม่เอาอะไร รู้เฉยๆ 

นี่ รู้อย่างเดียว มันจะอะไรเกิดขึ้น กูไม่เอา กูจะรู้ ...มึงจะเอาอะไรมาล่อกู กูไม่เอา กูรู้อย่างเดียว กูจะรู้ว่ากูนั่ง รู้ถึงตัวนั่ง เอาดิ ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้ นั่งรู้มันอย่างเดียวนี่ 

พุทโธกูก็ไม่เอา ลมกูก็ไม่เอา อะไรกูก็ไม่เอา ให้คิดก็ไม่เอา ...อะไรเกิดขึ้นกูจะรู้อย่างเดียว อะไรมากูรู้ รู้อย่างเดียว ...ลองดู ไม่สงบให้มันรู้ไป บอกให้เลย

ดีกว่ามานั่งเอาเป็นเอาตายกับพุทโธๆๆ 'ลูกผัวกูอยู่ไหน บ้านกูเป็นไง' ...นี่ ไปไหนยังไม่รู้เลย  พุทโธๆ อยู่แต่จิตไปอยู่ที่บ้านแล้วอย่างนี้  พอจะรู้ออกมา อ้าว ไปไหนแล้วก็ไม่รู้

กลับมาให้รู้ เป้าหมายก็คือกลับมาให้รู้...ให้เห็นตัวรู้ ให้เห็นตัวจิตผู้รู้อยู่ ...เมื่อเห็นดวงจิตผู้รู้อยู่ มันก็จะเห็นอีกสิ่งหนึ่งคือดวงจิตที่รู้ไป  แล้วก็ไม่ตามไอ้ที่รู้ไป แต่ให้อยู่ที่รู้อยู่ ...มันมีสองตัว รู้ไปกับรู้อยู่

ไอ้ที่รู้ไปนี่ ทางคิดนี่รู้ไป จำนี่รู้ไป อดีตก็รู้ไป อนาคตก็รู้ไป เสียงก็รู้ออกไป ตาก็รู้ออกไป 

แต่มันจะมีอีกตัวหนึ่งคือรู้อยู่ คือดวงจิตผู้รู้อยู่ ...ให้กลับมาอยู่ตรงนั้นแหละ อะไรก็รู้อยู่ๆๆ รู้อยู่ตรงนั้นแหละ ...อย่ารู้ไป อย่ารู้มา ไม่ไปไม่มา มีแต่รู้อยู่

มันจะมามันจะไปช่างหัวมัน รู้อยู่ว่ามันมา รู้อยู่ว่ามันไป  แต่ไม่ไปกับมัน ไม่มากับมัน ...รู้อยู่อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวก็ได้เรื่อง ...เดี๋ยวก็ได้ใจ เดี๋ยวก็ได้อยู่ที่ใจ เดี๋ยวก็เห็นใจ เดี๋ยวก็ตั้งมั่นลงที่ใจขึ้นมา

เพราะนั้นถ้าอยู่ที่ใจ ตั้งมั่นที่ใจ รู้ใจขึ้นมาแล้วนี่ ได้ใจเห็นใจขึ้นมานี่ ...เหมือนได้แก้วสารพัดนึก เป็นสมบัติอันล้ำค่า เป็นสมบัติยิ่งกว่าขุมทรัพย์มหาทรัพย์สมบัติในโลก กองรวมกันเท่าโลกก็ยังไม่มีค่าเท่ากับใจดวงนี้

เมื่อรู้ใจเห็นใจ ปรากฏสภาวะใจรู้ รู้ขึ้นมาแล้ว ...อย่าทำตัวเหมือนไก่ได้พลอย ต้องหวนแหน รักษา ทะนุบำรุง ทะนุถนอม ..อย่าให้ตก อย่าให้ขาด อย่าให้บกพร่อง อย่าให้หายไป 

มันเป็นทรัพย์สมบัติที่หาไม่ได้ในคนทั่วไป สี่พันกว่าล้านที่เกิดอยู่ในโลกนี้ มีใครจะเห็นใจตัวเองมั่ง ...เจอแล้วยังทิ้งอีกเหรอ 

นี่ ต้องเห็นความสำคัญ ...ทะนุถนอม บำรุงด้วยสติ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เสมอๆ  เพื่อที่จะให้อยู่ที่ใจ เห็นใจได้ตลอดเวลา ...นั่นแหละคืออริยทรัพย์  สะสมอริยทรัพย์ไปเรื่อยๆ ด้วยการรู้ที่ใจอยู่ที่ใจ

จนมันเป็นอัตโนมัตินั่นแหละ มีอะไรปุ๊บมันรู้ใจก่อนเลย อย่างอื่นไม่สน ...บ้านหาย ของหายในบ้าน ไฟจะไหม้บ้าน พอรู้ปุ๊บ มันไม่สนใจของอะไรจะหายวะ มันสนใจ...ใจ รู้เลย 

อย่างพวกเราถ้าบอกว่าคนขโมยของ ปุ๊บ "ไหนของอะไรหายๆ" ... นี่ เขาเรียกว่ารู้ออกไป ...แต่พอฝึกๆ ไป "ของหายโว้ย ที่บ้านโดนขโมยของ" ปุ๊บ ...ใจเราเป็นยังไง กลับมารู้ ... เออ มันต่างกันนะให้สังเกตดู 

แต่ถ้ารู้แล้ว "เฮ้ยๆ โอ๋ย มันเอาอะไรของเราไปบ้างวะ" ... นี่แปลว่าสติอ่อน ไม่เห็นคุณค่าของใจ มันเห็นคุณค่าของสิ่งของมากกว่าใจ นี่ มันเห็นว่า...เอาอะไรกูไปมั่งรึเปล่า นี่เห็นไหม...ไปติดข้าวของก่อน

แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ สติรู้อยู่ๆ ปึ้บ ...พอเขามาบอกข่าวปุ๊บ  ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจแต่มันกลับมาดู...เฮ้ย ใจเราเป็นไงวะ ดีใจมั้ย เสียใจมั้ย กังวลมั้ย...รู้ๆๆ ...นี่คืออานิสงส์ของการเจริญสติระลึกรู้อยู่

นี่แค่ของหาย ...ต่อไปนะ “คุณเป็นมะเร็ง...ตายแน่” ... ปุ๊บนี่มาดู ...ออกไปตีโพยตีพาย ออกไป "โหย เราจะรักษายังไงดี จะไปสั่งเสียยังไง จะไปอย่างนั้นอย่างนี้" ... นี่ หลง หลงออกแล้ว 

แต่ถ้ามีสติปึ๊บ ...ปุ๊บ กลับมารู้อยู่ที่ใจ ด้วยความสงบระงับเป็นกลาง ...นี่คือผลของการเจริญสติ 

อาจจะไม่ได้เห็นกระดูกกระเดี้ยว อาจจะไม่ได้เห็นอสุภะอสุภัง อาจจะไม่ได้เห็นมรรคผลนิพพานในภาษาของเขา หรือว่าความสงบระงับดับดิ้นดิ่งหายลงไปในอเวจีอะไร

แต่มันกลับมารู้อยู่ในปัจจุบันของใจ แค่เนี้ย พอแล้ว ...สงบระงับได้แล้ว ไม่เดือดร้อน ไม่ส่ายแส่ ไม่กระวนกระวาย ...เอามาใช้กับชีวิตประจำวัน อยู่กับชีวิตประจำวัน อยู่แนบติดกับทุกขณะของลมหายใจเข้าออก

ใครจะว่าไม่ได้ผล ใครจะว่าไม่ใช่ ...รู้เอาเองเหอะ ทำเองรู้เอง ทำเอาเองรู้เอาเอง...ว่าเนี่ย ที่พระพุทธเจ้าต้องการสอน ต้องการให้เข้าใจ ต้องการให้ศาสนิกชน ต้องการให้สัตว์โลกทั้งหลายเข้าใจ ...คือจุดนี้

คือสามารถจะบริหารกายบริหารจิตในชีวิตประจำวันนี้...อย่างไรที่ไม่เป็นทุกข์กับมัน แค่นั้นเอง คือเป้าหมายของพุทธะ ...คือให้ยอมรับในอริยสัจ ในทั้งทุกขสัจ ในทั้งสมุทัยสัจ ในทั้งมรรคสัจและนิโรธสัจ ว่ามันเป็นอย่างนั้น

แล้วก็กลับมารู้อยู่ที่นั่นแหละ ที่ใจ แค่นั้นเอง ยอมรับความเป็นจริงได้ ...ใครจะว่าร้าย ใครจะว่าดี ใครจะว่าไม่ดี ใครจะว่าไม่ใช่ ให้พิสูจน์เอาเอง...ไปพิสูจน์กันเอาเอง 

ขอให้ตั้งใจจริงๆ รู้แค่อย่างเดียว รู้ตัวเดียวนี่รอด ไปรอด รอดได้ ...เอาตัวรอดได้ รอดได้จากสามภพ รอดได้จากบ่วงมาร ...บ่วงมารนี่คล้องไม่ติดหรอก 

อยู่ที่รู้อย่างเดียว...แล้วไม่ต้องไปเอาสภาวะอื่นมาครอบครองมาถือครองหรอก ไม่ต้องเอาความรู้ความเห็นอื่นมาถือมาครองหรอก ...เอาแค่รู้ตัวเดียวนี่จึงจะไปรอด รอดออกจากรูของบ่วงมาร คล้องไม่ติด ...ขอให้มันรู้เข้าไปจริงๆ

ไอ้รู้นอกออกไปนี่ บรรเทามันซะบ้าง ยั้งๆ มันซะบ้าง น้อยลงซะบ้าง คลายลงซะบ้าง ...เห็นมั้ยว่าสมุทัยพระพุทธเจ้าท่านให้ทำยังไง...จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย 

เริ่มตั้งแต่ต้องจาโค...สละ หัดสละออกไปซะบ้าง ความคิด ความคำนึงถึง ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น หัดเสียสละความรู้สึกนี้ออกไป ...เริ่มต้นจากจาโค อย่าเสียดาย อย่าหวงแหน อย่าอาลัย 

ปล่อยออกไป ปล่อย หัดปล่อยๆๆ ...อย่าตามมัน อย่าไปเอาอะไรในความคิด อย่าไปเอาอะไรกับเรื่องราว อย่าไปเอาอะไรกับผลประโยชน์ที่ยังได้ หรือไม่ได้ หรือจะได้ ...หัดสละ ละ คลายในความคิดซะ

ให้มารู้อยู่ตรงนี้ เท่าที่ตรงนี้ ที่มันมีมันเป็นตรงนี้ ...มันจะไม่มีอะไร สมบัติอะไรเหลืออยู่หรอก มีแค่ตัว กายกับใจดวงเดียว แค่นี้แหละ ...ให้รู้จักสันโดษในกายและใจขณะปัจจุบัน 

ละออก วางออกไป อย่าให้มันจูงออกไป หาทรัพย์สมบัติในอดีตอนาคต ...แล้วมันก็จะค่อยๆ คลี่คลาย เบา สบาย เป็นอิสระ 

แม้แต่การอยากได้ธรรม รู้แล้วก็สละออกไป ธรรมก็ไม่เอา มรรคผลก็ไม่เอา นิพพานก็ไม่เอา มันเป็นเรื่องของความอยากทั้งนั้นแหละ ...สละออกไป เอาอย่างเดียวคือเอารู้  

อย่างอื่นทิ้งได้หมด...ยกเว้นรู้ ห้ามทิ้ง อย่าเพิ่งทิ้ง อย่าเพิ่งฆ่าตัวรู้ ...รู้ก่อน หาตัวรู้ยังไม่เจอเลย จะหาทางฆ่ามันแล้ว  อย่าเพิ่งฆ่า รู้ก่อน รู้เยอะๆ รู้เข้าไป ...เอาจนไม่รู้ว่ามันจะรู้อะไรนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่า กูสมควรฆ่าได้แล้ว 

ตอนนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ หรือรู้ไม่ทัน เพราะนั้นต้องรู้เยอะๆ รู้ให้ทัน ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่รู้ ...ความโกรธ อารมณ์นอนเนื่อง ความรู้สึกบางความรู้สึก สภาวะบางสภาวะเรายังไม่รู้เลย ยังไม่เห็นเลย

รู้เข้าไป แล้วมันจะรู้จนไม่มีที่ให้รู้แหละ ...นั่นแหละมันรู้จนจบพิภพจบโลกธาตุ นั่นแหละมันจึงจะพอ มันถึงจะเข้าใจ มันจึงจะแจ้ง 

ไม่ใช่แค่รู้ ปุ๊บ วันนึงนี่ “วันนี้รู้ตั้งเยอะแฮะ สิบครั้งแน่ะ...ตั้งสิบครั้งแน่ะ” ...โอ้โหย เก่งจริงจริ๊ง (เน้นเสียง) มึงเก่งจริงๆ

รู้เอาจนไม่มีที่ว่างที่เว้นนั่นแหละ จนมันแจ้งหมดน่ะ ไม่มีอะไรที่มันไม่รู้ ...นั่นแหละอวิชชามันจะอยู่ได้ตรงไหน ...แสงสว่างเกิดตรงไหน ความมืดมันจะอยู่ได้อย่างไร  มันอยู่คู่กันไม่ได้สว่างกับมืด นะ 

สว่างคือรู้ มืดคือไม่รู้ ไม่แจ้ง ...เพราะนั้นเมื่อแจ้งขึ้นมานี่ มืดหายเอง  มันไม่มีที่ไหนที่จะมาปิดบังได้เลย มันรู้หมด เห็นหมดแหละ รู้หมดเห็นหมด

แล้วก็รู้เห็นอะไร ...สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นนั้น ไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย น่าจะไปข้อง น่าจะไปติด ... มีแต่เกิด-ดับ เกิดแล้วก็ดับๆๆ  ตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนฟ้าแลบฟ้าร้อง พั่บๆๆๆ แค่นั้นแหละ 

แน่ะ มันรู้เห็นเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นความเป็นจริง ...รู้เข้าไปๆ ปัญญามันก็เกิดในรู้นั่นแล้ว  น้อมลงมา เห็นแล้ว สิ่งที่รู้นั่น เดี๋ยวก็ดับๆๆ ...มีอะไรมั่งไม่ดับ

มีคนไปถามหลวงปู่ชอบ ...หลวงปู่ชอบท่านเทศน์ ท่านไม่ค่อยพูด ท่านเทศน์น้อย ไม่พูดเลย  คนบอกให้หลวงปู่ท่านเทศน์หน่อย หลวงปู่ก็เทศน์...ฟัง มาใกล้ๆ ฟังนะ “เกิด...ดับ” จบ (หัวเราะ)

นี่ ธรรมของหลวงปู่ชอบ พูดมาแค่นี้ “เกิด...ดับ” แค่นี้ ไปพิจารณาเอา ...จบได้ด้วยคำว่าเกิด-ดับนั่นแหละ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้หรอก ในสามโลกธาตุ ในไตรภพจบแดนนี่ มันก็มีแค่เกิดกับดับ

อย่าไปวอแว อย่าไปสงสัย อย่าไปลังเล ว่ามันคืออะไร มันดีไหม มันใช่ไหม มันถูกไหม มันจริงไหมหรือว่าไม่จริง ... พระพุทธเจ้าบอก จริง...สัจจะอย่างเดียวคือมันเป็นไตรลักษณ์เหมือนกันหมด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัย สุดท้ายก็คือดับ ไม่เที่ยงแล้วก็ดับ

จะไปสงสัยอะไรกับมัน จะไปหาถูกหาผิดอะไรกับมัน ...ถูกก็ดับ ผิดก็ดับ ใช่ก็ดับ ไม่ใช่ก็ดับ มีก็ดับ ไม่มีก็ดับ ว่างก็ดับ เอาดิ มันมีอะไรเหนือกว่านี้ล่ะ...ไม่มี

อย่าว่าแต่พระอริยะเลย ...พระพุทธเจ้าท่านบอกมาตั้งสองพันกว่าปี ท่านส่องมาทั่วโลกธาตุอนันตาจักรวาล ...ไม่มีอะไรเกิดแล้วตั้งอยู่ได้ตลอดเลย 

ท่านเห็นแล้ว ท่านเข้าใจแล้ว ท่านถึงมาบอก ด้วยการว่า...นี่คือสัจจะ  ถึงว่าประกาศสัจธรรม จริงนะ ท่านพูดแบบสัจจะนะ ท่านถึงเรียกว่าอริยสัจ

เพราะนั้นสิ่งที่บอกทั้งหมดนี่ ไม่ใช่ถูกหรือว่าผิด ...แต่จริง เป็นสัจจะ เถียงไม่ได้ ...มีแต่ไอ้บ้าเท่านั้นแหละที่เถียง ที่มันว่าแน่ ที่มันคิดว่าถูก นั่นน่ะบ้า มาเถียงเรื่องความจริงได้อย่างไร ว่าไอ้นั่นถูก ไอ้นี้ยังผิดอยู่

ไอ้ตัวคนพูดน่ะมันไม่ตายรึไง ตัวมันเองยังไม่เห็นความดับเลย ยังมาว่ากูถูกๆ ความคิดนี้ถูก วิธีนี้ถูก ...อยู่แค่นั้นน่ะ ไม่ไปไหนหรอก มันก็ไปเกิดไอ้ตรงที่ถูกนั่นแหละ 

ตายไปแล้วมันก็ไปเกิดกับไปทำให้มันถูกอยู่นั่นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก ...เพราะไม่เข้าใจว่ามันยังมีสัจจะ คือความเป็นสัจจะ คือไม่มีอะไรพ้นจากกฎของไตรลักษณ์

ถ้ามองให้จบให้สั้นนะ มันจบได้แค่นี้เอง ...ไม่ใช่ว่าไปทำ ถูกจนจบ ผิดจนจบ ไม่ใช่ ...จบมันตรงนั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก แค่นั้นแหละ มันก็แค่นั้นแหละ

พระพุทธเจ้าถึงบอก "ตถตา"...มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้น ไม่มีดีกว่านี้แล้ว ไม่มีแย่กว่านี้แล้ว เพราะนั้นทุกสิ่งที่มันปรากฏในปัจจุบันนี่...ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง มันต้องเป็นอย่างนี้ ... สุดท้ายก็ที่สุดของทุกข์คือความดับไป

แต่พวกเราไม่เคยเข้าไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ...แค่ทุกข์มันออกมาแค่เนี้ย ไม่ไหวแล้ว ทนไม่ได้ ทำยังไงถึงจะออกจากมัน มีวิธีการไหน ...จะแก้ จะหนีอยู่ตลอด

ก็ลอง...ตายเป็นตาย อยู่กับมัน รู้กับมัน ดูดิ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ...พอถึงทุกสุดแห่งทุกข์คืออะไร ก็จะเห็น...คือความดับไปของมันเอง

แต่นี่ยังไม่ทันถึงที่สุดแห่งทุกข์เลย หาทาง...โอ้โห หาตัวช่วย accessories บานเบอะเลย  คนนั้นคนนี้ วิธีการนั้นวิธีการนี้ เพื่อจะให้มัน clear rid ,cut lost ออกให้หมด ...ใจเร็ว ใจร้อน ใจด่วน มันเลยไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็เลยไม่เห็นที่สุดแห่งทุกข์ 

มันจะต้องเห็นที่สุดแห่งทุกข์ในทุกเคส...ด้วยความอดทน ตั้งมั่น สมาธิตั้งมั่น มันจึงจะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง...ว่าอ๋อ แค่นี้เองเหรอ อ๋อ สุดท้ายก็ดับ อ๋อ สุดท้ายก็ไม่มี แค่นั้นแหละ

เพราะนั้นการปฏิบัติธรรมมันไม่สบายหรอก มันไม่สบายเพราะมันต่อต้านกับอำนาจกิเลส อำนาจของตัณหา อำนาจของความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ... มันต้องต่อต้านด้วยการที่รู้อยู่เฉยๆ อะไรก็รู้ๆ

พอปฏิบัติเริ่มต้นทุกคนยังบอกเลย แค่รู้เฉยๆ อะไรก็รู้ๆ ตั้งใจรู้อยู่น่ะ พอรู้ไปเรื่อยๆ... “เอ้ มันน่าจะมีอะไรเร็วกว่านี้ ดีกว่านี้นะ ต้องมีวิธีการนั้นมั้ย ต้องพิจารณาสักหน่อยมั้ย เอ ต้องให้เห็นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก่อนมั้ย” 

เอาแล้วๆ เซลส์แมนเริ่มออกทำงานอีกแล้ว


(ต่อแทร็ก 3/12)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น