วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 3/23 (2)


พระอาจารย์
3/23 (540307)
7 มีนาคม 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/23  ช่วง 1

พระอาจารย์ –   แต่นักปฏิบัติชอบบังคับให้ขันธ์คงที่ ...กำหนดพุทโธก็ต้องให้อยู่กับพุทโธ กำหนดลมก็ต้องอยู่ที่ลม ให้มีแต่ลมถ้าอย่างนี้ เห็นมั้ย มันรู้แค่อาการเดียว


โยม –  ใจมันไม่ยอมน่ะค่ะ ใจมันจะดิ้นอยู่ตลอด    

พระอาจารย์ –  ใจดิ้นก็รู้ว่าใจดิ้น ...คือไม่ว่ามันจะเกิดอะไร ไม่ต้องหา ไม่ต้องทำ ไม่ต้องเข้าไปมีเข้าไปเป็นกับอะไร ...คืออะไรปรากฏก็รู้ตามนั้นแหละ มันดิ้นก็ดูมันดิ้น ก็รู้ว่าดิ้น ...แล้วทำไมจะต้องไปดิ้นกับมัน หือ 


โยม –  เข้าใจว่าคือไปยึดติดกับแบบแผนว่าการปฏิบัติต้องทำแบบนี้  

พระอาจารย์ –  ใช่ ไอ้นั่นน่ะคือความไม่เข้าใจ หรือว่าเห็นผิด หลง...ที่จะไปสร้างขันธ์ หรือว่าสภาวะใดสภาวะหนึ่งขึ้นมา

พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง ...ถ้าเห็นขันธ์ตามความเป็นจริงเมื่อไหร่นะ มันจะละเอง ...ละยังไง ... “ก็มันไม่ใช่เรื่องของเรา ก็เป็นเรื่องของขันธ์น่ะ”


โยม –  ไม่ต้องรอให้จิตนิ่งก่อนหรืออะไร ก็คือทำตรงๆ เข้าไปเลย  

พระอาจารย์ –  นิ่งก็รู้ว่านิ่ง ไม่นิ่งก็รู้ว่าไม่นิ่ง   


โยม –  ทุกอย่างเป็นสภาวะหมด  

พระอาจารย์ –  ถูกต้อง เป็นแค่อาการ ...มันเป็นของเราตรงไหน ...ดู เห็นขยับไหม  รู้มั้ย รู้กายอยู่มั้ย เห็นมั้ย 


โยม –  บางขณะก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้ค่ะ    

พระอาจารย์ –  รู้ตรงไหน 


โยม –  รู้ที่มือค่ะ ที่นั่ง ที่เท้า 

พระอาจารย์ –  เป็นความรู้สึกใช่ไหม เออ ดูที่ความรู้สึกนะ  


โยม –  ค่ะ  

พระอาจารย์ –  ดูซิ ความรู้สึกน่ะมันเป็นเรามั้ย เป็นมั้ย    


โยม –  (เงียบอยู่)  

พระอาจารย์ –  อย่าคิด นั่น คิดไปแล้ว ...ดูที่ความรู้สึกเฉยๆ  ดูตรงๆ รู้เฉยๆ เห็นมั้ย ไม่ต้องคิดมาก รู้สบายๆ รู้ธรรมดา เห็นมั้ย ความรู้สึกมันบอกอะไรมั้ย ...ความรู้สึกที่มือ ที่ก้นน่ะ มันบอกอะไรมั้ย  


โยม –  ก็รู้แค่ว่ามันติดอยู่กับพื้นอย่างนี้ค่ะ 

พระอาจารย์ –  มันบอกอะไรมั้ย มันว่าอะไรมั้ย มันพูดอะไรมั้ย 


โยม –  ไม่ค่ะ      

พระอาจารย์ –  มันบอกเป็นของเรามั้ย    


โยม –  ไม่ค่ะ  

พระอาจารย์ –  มันบอกเป็นชายมั้ย เป็นหญิงมั้ย


โยม –  ไม่ค่ะ 

พระอาจารย์ –  เออ รู้เข้าไปอย่างนี้   


โยม –  อ๋อ ค่ะ 

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย ขันธ์เป็นอะไร  


โยม –  ขันธ์เป็นแค่... 

พระอาจารย์ –  อะไรก็ไม่รู้ 


โยม –  ค่ะ 

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย เวลาถามยังตอบไม่ได้เลย  เพราะมันไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรด้วยซ้ำ เข้าใจมั้ย


โยม –  อ๋อ  

พระอาจารย์ –  นี่คือสติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่าขันธ์เป็นอย่างไร ก็จะเห็นขันธ์ตามความเป็นจริง อย่างเนี้ย เรียกว่าเห็นขันธ์ตามความเป็นจริง เขาเป็นอะไร ..เป็นอะไร   


โยม –  บอกไม่ถูกค่ะ  

พระอาจารย์ –  เออ นั่นแหละ แล้วทำไมต้องบอกว่าเป็นของเรา ...อันนี้ความเห็นผิดเข้ามาแทรก เข้าใจมั้ย

เพราะนั้น รู้อย่างนี้ บ่อยๆ ดูที่ความรู้สึกตัวทางกายนี้ ...มันวุ่นวี่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน จับอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะกำหนดอะไรดี กลับมารู้สึกตัว ดูความรู้สึกตัวที่กาย

ดูสิ มันเป็นอะไรๆ สวยรึเปล่า หรือไม่สวย ดูที่ความรู้สึกตัว นั่นแหละกาย  มันเป็นก้อนๆ ...เห็นเป็นก้อนๆ เป็นแท่งๆ มั้ย เป็นมวลๆ ลงมาแค่นั้นเองใช่มั้ย บางทีก็ยืดหยุ่น บางทีก็แข็ง บางทีก็อ่อน

นั่นแหละธาตุ เห็นมั้ย มันเป็นแค่ก้อน กอง ก้อนธาตุกองธาตุ ...แล้วยังมาว่าเป็นเราเหรอ ใช่มั้ย ดูเข้าไปรู้เข้าไป ...เผลอไป ไม่รู้จะกำหนดอะไร กลับมาดูเฉยๆ นี่แหละ กลับมารู้สึกที่ตัวนี่แหละ

ดูเข้าไป เห็นมั้ย มันไม่มีความรู้อะไรหรอก ไม่เกิดอะไรขึ้นด้วย ไม่ได้อะไรด้วย  มีแต่รู้กับเห็น แล้วรู้เห็นอะไร...รู้เห็นขันธ์ แล้วขันธ์อะไร...นี่แหละขันธ์ตามความเป็นจริง

รู้เข้าไปบ่อยๆ ...ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพิจารณา ไม่ต้องหาธรรมอะไร ...ณ ขณะที่รู้ตรงนี้ เห็นมั้ย มันไม่มีอดีตเลยนะ มันไม่มีอนาคตอะไรเลยนะ เห็นมั้ย ตรงนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นอกาลิกธรรม ...เคยได้ยินมั้ย    


โยม –  ไม่เคยค่ะ 

พระอาจารย์ –  อกาลิโก...เคยได้ยินมั้ย


โยม –  เคยค่ะ    

พระอาจารย์ –  เออ เพราะนั้นธรรมที่ปรากฏตรงนี้จึงไม่มีกาลเวลา สองอย่างนี่เป็นธรรมคู่กัน ...ใจก็เป็นธรรมอันหนึ่ง สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง

นี่ รู้อยู่แค่นี้ เห็นมั้ย มันนอกกาลและเวลา เหนือกาลเวลาแล้ว ...เพราะนั้นลักษณะที่เหนือกาลเวลานี่ อย่ามาอ้าง อย่าอ้างว่า “ทำไม่ได้ ไม่มีเวลา ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้

ต้องอยู่คนเดียว ต้องมาอยู่ที่วัด ต้องสงบก่อน ต้องให้ได้อะไรก่อน ต้องเข้าใจอะไรก่อน” เห็นมั้ย มันต้องอ้างอะไรมั้ย ...ถ้ามีสติอยู่ตรงนี้ มันอ้างอะไรได้มั้ย เข้าใจไหม

เพราะนั้นการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา สถานที่ และบุคคล ...เพราะธรรมจะมีอยู่ตลอดเวลา ไอ้ที่ไม่มีน่ะ...คือไม่มีสติ

ถ้ามีสติปุ๊บ..ในปัจจุบันปั๊บ..ธรรมปรากฏสองอย่างทันที คือขันธ์กับสิ่งที่รู้ว่ามีขันธ์...มีอยู่สองอย่าง ...รู้อยู่แค่นี้พอแล้ว ...คนอื่นใครจะรู้มากรู้มาย ใครจะได้อย่างนั้นเห็นอย่างนี้ ไม่สน เรารู้อยู่แค่สองสิ่งนี้ 


โยม –  แต่สิ่งที่เรากำหนดรู้ก็คือแค่เรารู้เฉยๆ โดยที่เราไม่ต้องบอกว่ามันเป็นขันธ์หรืออะไรใช่ไหมคะ แค่รู้เฉยๆ    

พระอาจารย์ –  รู้เฉยๆ ไม่ต้องพูด เฉยๆ ไว้ก่อน ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องเนมมิ่ง(naming) มีนนิ่ง(meaning) ไม่ต้องหาความหมาย ไม่ต้องหาที่มาที่ไป ไม่ต้องหาเหตุหาผล

พอรู้ว่ามันจะเข้าไปหา มันจะเข้าไปว่ามันคืออะไร  ก็ให้รู้ว่า...อ๋อ มันมีกริยาของจิตออกมา กำลังจะไปว่า กำลังจะไปทำอะไรกับมัน

ก็ให้เห็นว่านี่จิตเริ่มมีกริยา หรือว่าพฤติจิตเริ่มแสดงอาการตอบสนองต่อขันธ์อย่างนี้...ให้ทัน ... เมื่อทันแล้ว...ทิ้งเลย  ไม่เอา ไม่มี ไม่เป็น ...ทิ้งเลย

โง่ไว้ โง่อย่างเดียวๆ ไม่รู้อะไร ไม่เอาอะไร ไม่เอาความว่ามันจะมายังไง มันจะดับเมื่อไหร่ มันจะเกิดเมื่อไหร่ มันจะตั้งอยู่กับอะไรเพื่ออะไร ...รู้อย่างเดียว

พอมันจะเริ่มมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือว่าพฤติจิตหรือกริยาของจิต มันจะมา มันจะคว้า ไปเสาะไปหาไปค้น พวกนี้...ให้ทัน ให้ทันว่า...อ๋อ กำลังจะเข้าไปหาว่ามันคืออะไร ปั๊บ...รู้...ไม่หา 

รู้เฉยๆ กลับมาโง่ไว้ ...หดมือหดตีนไว้ หดจิตน่ะ จิตรู้ ให้มันกลับมารู้เฉยๆ โง่ๆ ...เพราะไอ้ตัวกริยาของจิตนี่...อันนี้ภาษาที่พูดดีหน่อยก็ว่ากริยาของจิตหรือพฤติจิต ถ้าพูดหยาบๆ ก็คือตัณหา 

เนี่ย คือตัณหา ...แล้วมันหาอะไร ...มันอยากหาความรู้ มันอยากหาว่ามีอะไรดีกว่านี้ มันอยากหาว่าอะไรที่มันสูงกว่านี้

ซึ่งไอ้ที่อะไรมันดีกว่ามันสูงกว่านี้ คืออุปาทาน  ไอ้ที่หานั่นคือตัณหา ...เห็นมั้ย ที่ออกไปนี่คือตัณหา หาอะไร หาสิ่งที่มันหมายมั่น...นั่นแหละอุปาทาน

เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง  ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้มากก็ดีใจ ได้น้อยก็เสียใจ ไม่ได้เลยยิ่งเสียใจ  แล้วก็บอกว่าการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ...เพราะอย่างเนี้ย มัวแต่หาอะไรอยู่ 

หาอะไรที่นอกใจ...ก็ไม่เจอใจเลย  มีแต่เจอสิ่งที่อยู่หน้าใจตลอดเวลา  แล้วมันจะมีตลอดเวลา ไม่จบสิ้น ...ยิ่งหา จึงบอกว่ายิ่งไม่เจอ แต่ถ้ายิ่งหยุดน่ะ จะยิ่งเห็น...เห็นว่ามีอะไรอยู่ 

แล้วที่เห็นว่าไอ้สิ่งที่มีอะไรอยู่นี่น่ะ เห็นไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นว่าไอ้ที่มีอะไรอยู่น่ะ...ไม่มีอะไรเลย  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็หาย หายเองด้วย เปลี่ยนเองด้วย

อย่างเนี้ย เขาเรียกว่าเห็นไตรลักษณ์แล้ว ...เห็นไตรลักษณ์โดยไม่ได้คิดถึงไตรลักษณ์เลย ...แต่มันเห็นน่ะ จิตมันเห็น มันเห็นกับตา เหมือนกับมีตาแล้วกูเห็นอยู่ว่ามันเคลื่อน


โยม –  โดยที่ไม่ต้องกำหนดเลยใช่ไหมคะ   

พระอาจารย์ –  เออ ก็มันเห็นน่ะ เห็นมันขยับน่ะ เห็นนะ ...ต้องพูดไหมว่าอันนี้เป็นไตรลักษณ์ อันนี้ไม่ไตรลักษณ์  ก็เห็นน่ะ ก็กูเห็นน่ะ ...จิตมันรู้อย่างนี้

มีสติในปัจจุบันมันก็เห็นเลย ว่าเมื่อกี้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว  เห็นมั้ย นี่แค่รู้ลงในปัจจุบัน ไม่ได้ทำอะไรเลย ปัญญาเกิดปัญญาเกิดโดยเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญญามันเกิดตรงไหน

บอกให้เลย โง่มาก มันจะรู้โง่ๆ อย่างนี้ ...แต่ว่าเบา บอกให้เลย ยิ่งรู้ยิ่งเบา ยิ่งเห็นยิ่งเบา เบาจากขันธ์ ...แต่ก่อนนี่รู้อะไร..หนักหมดน่ะ  เพราะรู้แล้วแบก รู้แล้วยึด รู้แล้วถือ รู้แล้วเอามาครอง

ได้สภาวะไหนสภาวะหนึ่ง อู้ย หวงแหนรักษา อยากให้มันอยู่นานๆ อยากให้มันไม่หายไปไหน นี่หลงแล้วนะนั่นน่ะ หลงไปถือเป็นข้าวของ จับจองได้ ...เพราะอะไร เพราะเห็นว่ามันเที่ยง

ถ้ามันมีอยู่อย่างนี้...อย่างข้าวของนี่ ถ้ามันมีอย่างนี้ เวลาจับ จับได้ใช่มั้ย ...มันจับได้เพราะอะไร  มันจับได้เพราะมันมีใช่มั้ย เพราะมันมีทรวดทรงใช่มั้ย มีความคงอยู่ มีความเที่ยง

เข้าใจมั้ยว่า มันเข้าใจอย่างนี้ มันเลยไปจับ ...เพราะมันเข้าใจว่าไอ้สิ่งที่อยู่ หรือสิ่งที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่ปรากฏนี่..เที่ยง เข้าใจมั้ย

สงบก็เที่ยง..จับเลย  พอมีสงบปุ๊บ ด้วยความโง่นะ อยากได้น่ะ  พอได้ขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาล่ะกู...ใช่เลยนี่ เข้าไปจับเลย เข้าไปถือครองว่าเป็นเราสงบเลย  พอเราสงบนี่ มันก็ถืออย่างนี้


(ต่อแทร็ก 3/23  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น