วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 3/23 (4)


พระอาจารย์
3/23 (540307)
7 มีนาคม 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  3/23  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  แล้วต่อไปมันจะเห็นว่าเครียดมันจะเริ่มแปรเปลี่ยน แปรปรวน ไม่คงอยู่ ไม่ถาวร ...ถ้าถาวรน่ะ ป่านนี้มันก็ยังเครียดอยู่สิ เข้าใจไหม ไม่อยู่หรอก ไม่ว่าอารมณ์ไหน ไปๆ มาๆ อยู่อย่างนั้น

ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปทำอะไร ...ให้รู้เป็นสองอาการให้ได้ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรก็รู้ว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องไปหาอะไรให้มัน หรือกลัวว่ามันหาย กลัวว่าไม่รู้จะตั้งรู้อยู่กับอะไร ...ให้รู้กับกาย รู้กับความรู้สึกตัว 

เพราะนั้นตัวกายนี่ จะเป็นอะไรก็ได้  แข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ ลมก็ได้ ลมหายใจก็ได้ ไหวก็ได้ นิ่งก็ได้  แน่ะ นี่เรียกว่ากาย...กายวิญญาณ ...ลมพัดนี่ รู้สึกไหมเย็น นี่กายเวทนา ...ก็ดูไปสิ มันเป็นเราตรงไหน หือ 

ถามมันก็ได้ ...ถ้ามันตอบล่ะค่อยมาบอกว่าเป็นเรา  ถ้ามันไม่ตอบ อย่าเชื่อมัน ใช่ป่าว ...มันเป็นไอ้ใบ้ใช่ไหม เห็นมันเป็นไอ้ใบ้ไหม มันก็มาทื่อๆ ของมันน่ะ ...ตัวมันเองมันยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นอะไร 

แล้วตัวมันที่ปรากฏก็ไม่เคยมีเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น...ว่าจะทำให้เราเจ็บปวด จะทำให้เราเดือดร้อน หรือจะทำให้เราดี หรือจะทำให้เรามีความสุข นี่...ไปก็ไม่ลามาก็ไม่ไหว้ด้วย ไร้มารยาท

เวลามาก็ไม่มีมารยาท เวลาจากไปก็ไร้มารยาท ไม่เคยบอก ไม่เคยกล่าว นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ...เพราะเขาไม่มีอะไร ไม่มีความรู้สึกอะไร ไม่มีเจตนาใดๆ ในตัวของมันเองเลย ...นี่แหละกาย

ดูให้เห็นอย่างเนี้ย ดูไปก็จะเห็นความเป็นจริง...เขาก็แสดงความเป็นจริง เขาก็ไม่เคยปกปิด เขาไม่เคยปิดบัง ...แต่เราไม่ยอมไปดูตรงๆ กับเขาเอง

มัวแต่จะไปหาอะไรดู หือ หาอะไรดูอยู่ หาธรรมมาดูเหรอ หาให้มันเป็นธรรมให้ได้ ...ธรรมมันจนจะทิ่มหูทิ่มตาอยู่แล้ว (โยมหัวเราะ) ...ไม่ได้เคยปกปิดอยู่ตรงไหนเลย

ตั้งแต่ตื่นยันหลับ นั่นแหละ ก็กินอยู่หลับนอนอยู่กับมันน่ะ ใช่ไหม รูปก็อยู่ นามก็มี ตาก็เห็น หูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็ลิ้มรส กายก็เย็นร้อนอ่อนแข็งอยู่...ทั้งวัน

เขาแสดงธรรมอยู่ทั้งวัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวก็เห็น เดี๋ยวก็ได้ยิน เดี๋ยวกระทบนู่นกระทบนี่ ...ทำไมจะต้องไปเอาสงบที่เดียวเท่านั้น มันเคารพเทิดทูนบูชาเหลือเกิน...เกินไป

ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่เที่ยง จะทำให้มันเที่ยงให้ได้น่ะ  ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่มีตัวไม่มีตน ...แต่พยายามทำให้เป็นตัวเป็นตนให้ได้น่ะ ให้จับต้องได้อยู่นั่นแหละ

ภาวนา...ปัญญาทั้งหมดก็เพื่อให้เห็น นี่...ที่สุดของพระอรหันต์ ท่านเห็นว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ...ท่านเห็นว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีตัวไม่มีตน

แต่พวกเรามันพยายามจะทำให้ธรรมนี่เป็นตัวเป็นตนให้ได้ จะคว้าให้ได้ จับให้ได้ หาให้เจอ ไล่ให้ทัน อยู่อย่างนี้ ...ไม่มีทางทัน เกิดมากี่ชาติๆ ก็ไม่ทัน ...เพราะธรรมนี้จับต้องไม่ได้ 

นี่ พวกเราถึงรู้สึกไงว่าไม่ได้อะไร ...ก็มันถูกแล้ว มันไม่ได้อะไรหรอก นั่น ...โยมเคยเห็นกอไผ่ไหม


โยม –  เคยค่ะ    

พระอาจารย์ –  มีอะไรในกอไผ่ หือ มีอะไรในกอไผ่มั้ย   


โยม –  ไม่มีค่ะ   

พระอาจารย์ –  เออ มันไม่มีอะไรในกอไผ่ และอย่าไปคิดว่าในกอไผ่ข้างหน้าจะมีอะไร แล้วก็พยายามไปหากอไผ่ที่คิดว่ามีอะไร ...ไปดูเหอะ ทุกกอน่ะ มันไม่มีอะไรในกอไผ่

ให้มันเข้าใจอย่างนี้...ทุกอย่างที่ปรากฏ หรือจะปรากฏ หรือจะปรากฏต่อไป ไม่มีอะไรทั้งนั้น ...จะเอาอะไร จะหาอะไร ...ตอนนี้มันนึกอยู่นะ คิดอยู่ว่ายังมีอะไรข้างหน้าที่รออยู่ ที่จะได้อยู่ อย่างเนี้ย  

แต่ว่ามันจะเห็นว่า กอไผ่ข้างหน้า กอไผ่ข้างหลังมีอะไรหรือไม่มีอะไรนี่...ต้องมาเห็นกอไผ่เดี๋ยวนี้ คือปัจจจุบัน...ว่าไม่มีอะไรตรงนี้ ...มันจึงจะเห็นว่า อดีตไม่มี อนาคตก็ไม่มี

เพราะมันเห็นว่าปัจจุบันเองยังไม่มีอะไรเลย นี่มันต้องเริ่มต้นลงที่ปัจจุบันธรรม เห็นความดับไปของมัน เห็นความไม่คงอยู่ของมัน เห็นความไม่มีอะไรในมัน

เวลาความคิดเกิด แล้วเวลาความคิดดับ นั่น เวลาความคิดดับเห็นอะไรมั้ย ไม่มีอะไรอยู่ใช่ไหม ...นั่นแหละ ถ้ามันมีตัวมีตน มันต้องมีซากเหลืออยู่ มันจะต้องมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่สิ

ดูให้เห็น...สุข-ทุกข์เวลาเกิดน่ะ ดูเหมือนมี ...แต่เวลาดับ ดูสิมันมีอะไรอยู่ ...มีตัวตนเหลือมั้ย มีซากของความสุขเหลือไหม มีซากของความทุกข์เหลือไหม

นี่แปลว่าอะไร...แปลว่ามันไม่มีตัวตน ...แม้ขณะที่มันตั้งอยู่ มันก็เป็นแค่อาการ จับต้องไม่ได้ ...หยิบมาดูซิๆ บอกให้มันอยู่กับที่ บอกให้มันอยู่ในระดับนี้ซิ ...ทำไม่ได้ เห็นไหม

เพราะอะไร ...เพราะมันไม่มีตัวตน มันเป็นแค่ปรากฏการณ์ ...ดูไปดูมานี่ จะเห็นขันธ์เป็นแค่ปรากฏการณ์ ไม่ใช่อะไรของใครทั้งนั้น ไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น ไม่มีใครสร้างขึ้นมาทั้งนั้น

ถ้าเห็นอย่างนี้ มันจะไปบ้ากับขันธ์นี้หรือ มันจะไม่บ้าเลย ...จิตดวงนี้ ผู้รู้ดวงนี้ จะหายบ้ากับขันธ์  มันมาก..ก็เรื่องของมึงดิ มันน้อย..ก็เรื่องของมันน่ะ

หรือมันไม่เกิด ก็เรื่องของมันน่ะ หรือมันไม่ยอมดับ ก็เรื่องของมันน่ะ  ทำไมจะต้องให้เป็นอย่างนั้น หรือไม่เป็นอย่างนี้ล่ะ ...เนี่ย มันเข้าใจแล้วว่ามันก็เป็นอย่างนี้ สุดท้ายก็ไม่มีอะไร

เคยเห็นพลุไหม เคยเห็นพลุที่จุดขึ้นไปบนฟ้าไหม ...เวลาจุดขึ้นฟ้าน่ะ เห็นมั้ย เออ สว่างนะ สวยนะ ...แล้วมีอะไรเหลือ นั่นอันนั้นพลุลูกเดียวนะ 

แต่ขันธ์อันนี้...จุดพลุตลอดเวลา เข้าใจไหม ...นี่มันเลยเข้าใจว่า อู้หู สว่างทั้งวันทั้งคืนเลยนี่ สวยทั้งวันทั้งคืนเลยนี่ มีอยู่คงอยู่ตลอดเลย เป็นตัวเป็นตน ดูจับต้องได้ เข้าใจไหม ...นี่ มันเลยหลง   


โยม –  คือต้องกลับมาที่อยู่...ต้องให้รู้จนได้ว่ามันอยู่นิ่งไม่ได้   
  
พระอาจารย์ –  ใช่ เหมือนไฟน่ะ... ไฟเท่าไม้ขีดนี่ จะให้มันเท่ากับพระอาทิตย์ได้ไหม 

เพราะนั้นเหตุปัจจัยมันมีแค่นี้ มันก็ร้อนเท่านี้ ...จะมาบอกว่า จะให้ที่ตรงนี้เปลี่ยนเป็นพระอาทิตย์ได้ไหม ...เข้าใจมั้ย มันขึ้นกับอะไร มันขึ้นกับเหตุและปัจจัย ...ทำเอาไม่ได้

แต่ถ้ามันยังเข้าใจว่ามันทำได้อยู่...เมื่อนั้นมันก็ไม่ยอมวาง จะไม่ยอมวาง ...มันจะต้องเรียนรู้จนกว่าว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้...มันถึงจะรู้ว่าโง่ กูมาโง่อะไรกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา

แต่ว่าตอนนี้ที่มันยังหลง เพราะว่าบางครั้งได้ บางครั้งไม่ได้ ...มันเลยเข้าใจว่า มันน่าจะได้ แล้วมันต้องได้...เหมือนจะมีอะไรสักอย่างในกอไผ่ข้างหน้านี่แหละ


โยม –  เลยเข้าใจว่าปฏิบัติผิดทางตลอด  

พระอาจารย์ –  ใช่ นั่นแหละมันหลอกตัวเอง พยายามมีข้ออ้างให้ตัวเอง เพื่อจะทำๆๆ 

พูดง่ายๆ ...ธรรมชาติหรือสันดานของจิตนี่ มันแสวงหาภพตลอดเวลา แล้วเราก็เออออห่อหมกกับมัน...ด้วยความไม่รู้ นะ ...มันคิดว่ามันรู้ แต่มันทำออกไปด้วยความไม่รู้ 

ไม่รู้อะไร ...ไม่รู้ว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่รู้ว่าทำไปก็แค่นั้น ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่รู้ว่ามันไม่มีตัวไม่มีตน ...นี่ มันเลยหาทางทำตลอด จิตมันเลยแสวงหาภพตลอดเวลา...ภวาสวะ การแสวงหาหรือตัณหา

สมมุติว่าได้บ้าง-ไม่ได้บ้าง ...พอทำแล้วปุ๊บ ได้ปั๊บ...เนี่ย ภพ ...ทำแล้วได้ปุ๊บ เสวยปั๊บ เข้าไปเสวย ลิ้มรส มีความสุขมีความพอใจ นี่เรียกว่าชาติ ...ชาติเกิดตามมาจากภพ

เมื่อมีชาติเกิดปุ๊บ แล้วเป็นไง ...สุดท้ายความเป็นจริงก็จะจบลงที่ว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ตามมาเป็นที่สุด ...อันนี้เป็นธรรมดาของขันธ์

แต่ด้วยความที่ไม่มีปัญญา มันก็คิดว่าเรายังทำได้อีก แล้วก็ทำอีก นี่...เห็นความหมุนวนไหม เห็นความเป็นวัฏฏะไหม เห็นความที่ว่าไม่รู้จักจบไหม

แต่มันคิดว่าจบได้อ่ะ...นี่ยิ่งโง่เข้าไปอีก แล้วยิ่งมีคนบอกว่า ทำได้..เดี๋ยวก็จะจบเอง ทำให้ดีกว่านี้เดี๋ยวก็จะจบเอง อย่างนี้...เราบอกว่านี่เขาสอนกันมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก

แล้วพอไปจบ มันไปจบที่จุดไหนรู้ไหม...จุดที่ว่าง แล้วก็เข้าใจว่าว่างนั่นน่ะเสร็จ ใช่แล้ว ก็ไม่มีแล้ว...กิเลสหมดแล้ว นี่มันวิ่งเข้าไปหาความว่างทั้งหมด บอกให้เลย

เนี่ย ที่มันทำก็เพื่อจะให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม เพื่อจะให้หมดเลย กิเลสก็หมดไปเลย อะไรทั้งหมด หมดเลย ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีหือไม่มีอือน่ะ

นั่นแหละ อย่างนั้น...ทุกอย่างน่ะจิตมันมุ่งไปที่เป้าหมายของอรูปหมดเลย คือความดับ ...ซึ่งมันเป็นการดับแบบดื้อๆ น่ะ จะดับแบบดื้อๆ น่ะ

ซึ่งคนละความหมายกับคำว่าอนัตตา คนละความหมายกับคำว่าสุญโญ คนละความหมายกับคำว่าสุญญตา คนละความหมายของคำว่าอนันตมหาสุญญตา

แต่มันไปตีความหมายว่า นี่ ต้องไม่มีอะไร...ที่สุดแล้วทำไปเรื่อยๆ แล้วมันจะไม่มีอะไร จะได้ความไม่มีอะไรเป็นเจ้าของ..เป็นของเรา ...เห็นมั้ย ความไม่มีอะไรยังเป็นของเราอีกนะ ก็ยังมีเราในความไม่มีไม่เป็นอีก 

ปฏิบัติแล้วยิ่งปฏิบัติยิ่งโง่ บอกให้เลยนะ ยิ่งได้มายิ่งโง่ ...มันยิ่งเข้าไปใหญ่เลย เข้าไปในอาการที่มันละเอียดประณีตขึ้น ละเอียดขึ้นประณีตขึ้น...จนถึงที่สุดของความประณีตคือความว่าง

พระพุทธเจ้าถึงต้องมาแก้จิตของสัตว์โลก แก้จิตของนักปฏิบัติ...ว่าปัญญาคือต้องให้เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง ให้เข้าใจขันธ์ตามความเป็นจริง ...แล้วให้เข้าใจว่าขันธ์เป็นเรื่องของขันธ์ ไม่มีเราเป็นผู้เสวย ไม่มีเราเป็นผู้กระทำ

เพราะนั้นเบื้องต้นที่เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง เบื้องต้นก่อนเลยก็คือว่า...จะไม่มี “เรา” เข้าไปยุ่งกับขันธ์ หยุดการกระทำต่อขันธ์ โดยเจตนา หรือจงใจ

คือจะไม่เลือกขันธ์ จะไม่เลือกสภาวะ จะไม่เลือกธรรม นี่ มันจะไม่ค่อยเข้าไปแบ่งธรรม จะเริ่มเห็นความเป็นอันเดียวกัน...เหมือนกัน 

สังเกตดู ง่ายๆ ...ถ้าสงบกับฟุ้งซ่าน...ว่าต่างกันนะ ...นั่นแหละ มันยังเลือก ยังมีการเลือกหรือการแบ่งว่ามีความแตกต่าง ...แต่เมื่อดูไปแล้วจะเห็นว่าสงบกับฟุ้งซ่าน เท่ากันแหละ

มันก็คืออาการหนึ่งที่ปรากฏ แล้วที่สุดของอาการนี้คือความดับไป...เหมือนกันมั้ย ...ดูในความเกิด-ตั้ง-แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา นี่ จนเห็นว่ามันไม่ได้แตกต่างกันเลย

เมื่อเห็นอย่างนี้ว่ามันไม่ได้แตกต่างกันเลย ...จิตจะหยุดการเข้าไปเลือก นี่ มันจะเข้าไปทำลายความหมายมั่น...ว่าถูก ว่าผิด  ว่าดี ว่าไม่ดี  ว่าใช่ ว่าไม่ใช่  ว่าควร ว่าไม่ควร

จิตมันก็จะเริ่มหยุดการทะยานอยาก การออกไปคว้า...ว่ามี..คือเที่ยง ว่าไม่มี..คือเที่ยง ว่าใช่-ว่าไม่ใช่..คือเที่ยง ...เห็นไหม เนี่ย มันวิ่งไปหาความเที่ยง

เพราะมันเห็นว่าไอ้ที่อยู่ตรงนี้มันเที่ยง มันไม่หายสักที มันไม่เปลี่ยนสักที มันยังเหมือนเดิม มันยังไม่ไปไหน มันไม่ได้อะไร นี่ มันยังเห็นว่าอันนี้เที่ยง

มันจึงจะไปหาอะไรที่เที่ยงหรือว่าจับต้องเป็นตัวเป็นตน...ที่ดีกว่าอันนี้ ...นี่ มานะ มันไปแบ่ง  เพราะจิตไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่อาการวูบๆ วาบๆ ...จับต้องไม่ได้

มันไม่ได้เป็นอะไรของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่ใช่ของเขา  แล้วก็ไม่มีใครทำ แล้วก็ตัวมันเองก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร...ใครว่าสงบ ใครว่าฟุ้งซ่าน

เหมือนกับที่เราถามว่า มันเป็นชายไหม มันเป็นหญิงไหม มันบอกไหมว่ามันสวย มันบอกไหมว่าไม่สวย  ทำไมจะต้องบอกว่าเป็นอสุภะ ทำไมจะต้องบอกว่าเป็นสุภะ

แค่ดูตรงนี้มันยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นสุภะหรืออสุภะน่ะ ...เพราะอะไร  ก็ถ้ามันมีปากมันคงบอก มึงเสือกอะไรกับกู กูก็ตั้งของกูอยู่อย่างนี้ กูไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ากูคืออะไร ...นี่ เห็นมั้ย


(ต่อแทร็ก 3/23  ช่วง 5)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น