วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 3/17 (2)


พระอาจารย์
3/17 (540205A)
5 กุมภาพันธ์ 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/17  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  
จนกว่ามันจะแจ้งชัดว่าขันธ์เป็นแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราเรียกว่าเป็นแค่ปรากฏการณ์ จะเรียกว่าเป็นอะไรก็ได้

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าโลภ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าความคิด ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าเวทนาความสุข-ความทุกข์ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าจำ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าเห็น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าได้ยิน

จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ... จะบอกว่ามันคืออะไรดีล่ะ มันก็คือปรากฏการณ์หนึ่ง...เหมือนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง อย่างนี้

มันคือปรากฏการณ์ที่มีของมัน เพราะเมื่อเหตุปัจจัยเพียงพอ มันก็มีของมันอย่างนั้น ...แล้วไม่ต้องไปบังคับทำลายฆ่าฟันทำร้ายมันหรอก มันดับของมันเอง

การที่มีสติ ฝึกให้มีสติบ่อยๆ รู้เห็นปัจจุบันบ่อยๆ เพื่อให้มาเข้าใจ เห็นความเป็นจริงอันนี้บ่อยๆ ...ไม่ใช่เอาสติมาคุยกัน หรือมาบอกว่าฉันมีสติ ...แต่ถ้ามีสติแล้วยังโง่อีก ก็ไม่รู้จะมีสติทำไม

คือต้องให้มาเห็นตามความเป็นจริงของขันธ์ ว่ามันเป็นอย่างนี้หนา  มันไม่ใช่เพชร มันไม่ใช่พลอย มันไม่ใช่ของมีค่าหรือไม่มีค่าอะไร ...แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

เมื่อดับไปแล้วนี่ หาซากมันยังไม่เจอเลย ...ทำไมยังมานั่งนึกนอนฝันอยู่กับมันอีก ทำไมถึงยังไปโง่งมงายอยู่กับของที่มันว่างเปล่าล่ะ

ดูแต่ละขณะๆๆ แล้วต่อไปจะเห็นว่าชีวิตมันมีแค่ขณะๆ เท่านั้นเอง ...ไม่ใช่ร้อยรวมกันเป็นรูปปั้น รูปหล่อ เป็นของเที่ยงแท้ถาวรอะไร

ความเข้าใจ ความเชื่อของมนุษย์เราทุกคน สัตว์ทุกตัว มีความเชื่อว่าขันธ์ห้านี่เป็นรูปหล่อ มีเค้าโครง พามันไปไหนมาไหนได้หมด พามันทำอะไรก็ได้ สั่งให้มันทำอะไรก็ได้

นี่มันคือความเชื่อ ...เป็นความเชื่อ แต่ก็เป็นความเชื่อที่ผิด ...มันยังมีความจริงที่อยู่ในนั้นอีก

เพราะนั้น สอดส่องลงไป แยบคายลงไป โยนิโสลงไป ให้มันเห็นความเป็นจริง ...อย่าให้ความเห็นตื้นๆ เขินๆ มาปิดบัง ปกปิด ด้วยความหลง

ด้วยความเพลินไปกับความเชื่อ ความคิด ความเห็นตื้นๆ ...มันจะลากเราถูลู่ถูกังไป ขึ้นเขาลงห้วยขึ้นสวรรค์ลงนรกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ทำอะไรไม่ได้ นึกอะไรไม่ออก กลับมาอยู่กับกายปัจจุบัน แต่ละขณะๆ ไป  อย่าเบื่อ อย่าขี้เกียจ อย่าเซ็ง ...เพราะมันไม่ได้อะไรหรอก การปฏิบัติน่ะ

อย่าไปหวังผล อย่าไปคาดว่าจะได้อะไรหรือเกิดอะไรขึ้นมา เพราะมันมีแต่ความดับไป... ให้เห็นความจริงของขันธ์มันไม่ได้อะไรหรอก มันเห็นแต่ความดับไปของขันธ์น่ะ ในการเกิดขึ้นแต่ละครั้ง

แล้วมันเหลืออะไร ...มันไม่เหลือซากอะไรทั้งสิ้นให้เราเชยชมหรอก  สภาวธรรมอะไรก็ไม่มี อารมณ์ไหนก็ไม่เหลือ มันดับแล้วก็ดับไป อย่าไปมัวแต่ไปไขว่คว้าหาสภาวธรรมใด

ปฏิบัติแล้วจะได้อะไร จะเป็นยังไง ...ไม่เป็นยังไงอ่ะ ก็เป็นเหมือนเก่า เกิดแล้วก็ดับ  ผลท่านก็บอกอยู่แล้วว่านิโรธ...นิโรธ แปลว่า ความดับไป ...ถ้าจะเอาผลก็คือความดับไป ไม่มีอะไร

เพราะนั้นเวลามาดูกาย มันไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย ...ก็เห็นแต่มัน...เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็ดับ  เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็ดับ เห็นป่าว อย่าเบื่อ 

พอเบื่อก็ให้เห็นว่ามันเบื่อ ...มันเบื่อเพราะโลภ ไม่ได้เบื่อเพราะนิพพิทา มันเบื่อเพราะว่า..กูอยากเห็นอะไรยิ่งกว่านี้อ่ะ อะไรที่มันเที่ยง เป็นธรรมที่เที่ยง มันหาอมตธรรมอมตธาตุ สภาวธรรมที่เที่ยงอย่างนี้

มันหา มันเลยเบื่อ ... "เซ็งว่ะ มีแต่เกิดๆ ดับๆ ไหลไปไหลมาไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย" ...มันก็เลยบ่นว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย  

ก็แล้วมึงจะเอาอะไรล่ะ ...พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ได้อะไร พระพุทธเจ้าให้เห็นว่าขันธ์นี่เกิดดับอย่างนี้ มันเป็นของมันอย่างนี้ โลกมันเป็นของมันอย่างนี้ ...มีแต่เกิดแล้วก็ดับ

จะเอาอะไรกับมัน หือ เอาอะไร ...เอาเงินเอาทองเหรอ...ไม่มีอ่ะ เอาอะไรกับมัน  ได้อะไรมันก็ดับ มีอะไรก็ดับ เหลืออะไรล่ะ ...นั่นน่ะ นิโรธ ดูให้เห็นถึงความดับไป จะไปเอาอะไร

มันจะได้ขี้เกียจอยากซะบ้าง ขี้เกียจหาซะบ้าง  ตอนนี้มันขยันหาจังอ่ะ มันไม่ขี้เกียจหา ...มันขยันหาในสิ่งที่คิดว่ามันจะอิ่ม ถ้าได้อะไรมาแล้วมันกะว่ากูจะเก็บเข้าเซฟ ได้สภาวธรรมไหนก็เก็บเข้าเซฟไว้เลย 

มันไม่มีอะไรหรอก มีแต่ความดับไป ...ดูกาย ดูความคิด พอรู้ปั๊บก็ดับ ไม่คิดต่อเดี๋ยวมันก็ดับ  เกิดใหม่ก็รู้ใหม่ ดับอีกรู้อีก เดี๋ยวมันก็ดับของมันเอง

อยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่ได้อะไรหรอก เห็นป่าว ไม่มีธรรมไหนคงอยู่หรอก สังขารธรรมทั้งหลาย สภาวธรรมที่เราคิดเราคาดทั้งหลาย ไม่มีหรอก มีแต่ความดับไปทั้งสิ้น

เมื่อเห็นความดับไปของมันบ่อยๆ เห็นความไม่ตั้งอยู่ของมันบ่อยๆ เห็นความแปรปรวนของมันบ่อยๆ เห็นขันธ์ดับไปโดยสิ้นเชิงบ่อยๆ ...ต่อไปนี่ใจมันก็จะดับเข้าไปโดยสิ้นเชิง

ดับตรงไหน ...คือดับตัณหาอุปาทาน ...มันดับของมันเองน่ะ ไม่ต้องไปไล่ดับมันเลย 

ก็มันเห็นว่าไม่มีให้กูจะเอาแล้วอ่ะ มันจะมีตัณหาเกิดได้ยังไง มันก็เข้าไปดับโดยสิ้นเชิงน่ะ ...อุปาทาน...ทุกข์อุปาทานก็มอด ไม่เหลือหรอก

แต่ตอนนี้มันยังเหลือ ...เหลือเพราะอะไร ...เพราะเรายังมีความเห็นว่าอะไรยังมีอยู่...ข้างหน้า เดี๋ยวจะได้อะไรอย่างนี้ ...เดี๋ยวรอฟังธรรมข้างหน้า เดี๋ยวจะได้อะไรดีๆ 

นี่ถ้ายังไม่ได้วันนี้ เดี๋ยววันหลังก็จะได้ต่อไป ...คือมันมีชีวิตเพื่อวันพรุ่งนี้น่ะ  ถ้ายังอย่างนั้นน่ะ มันก็วิ่งไล่คว้าจับไปตลอด ตัณหาอุปาทานมันจะสิ้นยังไง

จนกว่ามันจะเห็นว่า...ก็แค่นั้นแหละ ข้างหน้าไม่มี  ความเห็นว่าข้างหน้าจะดีกว่าวันนี้ไม่มี มันเป็นแค่ความเห็น แล้วก็ดับเมื่อรู้ว่าความเห็นนี้เกิด

เนี่ย มันก็รู้สึกเหี่ยวแห้งมั้ยล่ะ มันรู้สึกว่าเหือดแห้งมั้ยล่ะ มันไม่กระชุ่มกระชวยเลยใช่มั้ย มันไม่มีพลังที่จะวิ่งตามหาธรรมเลย ...มันแห้งน่ะ มันเฉาน่ะ

ไอ้ที่มันเฉานั่นก็คือตัณหามันเฉา อุปาทาน ความหมายมั่นในอดีต-อนาคต ...ได้ก็แค่นั้น ไปก็แค่นั้น อยู่ตรงนี้ก็ไม่เห็นได้อะไรอยู่แล้ว

ก็เหมือนธรรม ฟังแล้วก็เข้าหูๆ  ฟังไม่รู้กี่รอบ เข้าหูแล้วก็ดับไป ไม่เห็นได้อะไร เห็นมั้ย มันก็เหมือนกันหมดแหละ ...ที่ไม่เหมือนคือตัณหามันเริ่มน้อยลง ความหมายมั่นว่าจะได้ธรรมที่สูงกว่าก็น้อยลง 

มันก็จะได้ธรรมที่สูงขึ้นโดยตัวของมันเอง คือความดับไป ...คือที่สุดของธรรมคือความดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เป็นอะไร

แต่ในขณะที่เรายังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ... ให้ทัน สติต้องทัน  อย่าเพ้อเจ้อไปกับอนาคต อย่าเพ้อเจ้อไปกับความเห็น ...นี่ คำว่ามัวเมา หลงในขันธ์ 

มันหลงในปรากฏการณ์ของขันธ์ หลงในสิ่งที่ไม่มีสาระแก่นสาร...ที่มันหลอก ...คือเขาไม่ตั้งใจจะหลอกหรอก แต่เรามันโง่ให้เขาหลอกเอง

ดูกาย... เย็น แข็ง อุ่น นี่...เขามีเจตนาใดๆ มั้ยให้เราเดือดร้อน  ถามมันดูซิ กูหนาวเพื่อให้มึงทุกข์รึเปล่า กูเมื่อยเพื่อให้มึงเดือดร้อนรึเปล่า อาการพวกนี้เขามีเจตนาอะไรในตัวเขามั้ย...ไม่มี

กูมาเมื่อกูจะมา และกูไม่เคยตั้งใจจะทำให้ใครเป็นสุข และกูก็ไม่เคยตั้งใจจะให้ใครเดือดร้อน ...แต่มันมีเหตุให้กูมากูก็เกิด หมดเหตุกูก็ดับ  กูไปไม่ลา กูมาไม่ไหว้ กูไม่ขึ้นกับใคร

มึงอยากมายุ่งกับกู มึงโง่เอง นี่ ถ้ามันมีปากมันก็ด่า มึงน่ะโง่ ...กูมาแบบไม่มีเจตนา กูไปกูก็ไม่มีเจตนา เพราะกูไม่มีชีวิตจิตใจอะไรทั้งสิ้น ... นี่เขาแสดงธรรม

แต่เรามัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไปหานิพพานอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ...ทั้งๆ ที่ว่าคีย์เวิร์ด พาสเวิร์ด..กายน่ะเป็นคีย์เวิร์ด ใจน่ะเป็นพาสเวิร์ด ...พิมพ์ลงไปปุ๊บก็...เยส โอเค แล้ว

แต่มันมัวแต่ไปไล่หาที่อื่น มันจะหาพาสเวิร์ดให้เจอน่ะ ...ก็ลงทะเบียนไม่รู้กี่รอบแล้ว เออเร่อ(error)ๆๆ ตลอด ...ทั้งๆ ที่ทุกคนน่ะมีอยู่แล้วพาสเวิร์ด

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มนุสส ปฏิลาโภ เกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐยิ่งนัก ...ประเสริฐยังไง ...มันมีกายให้เห็น มีกายเป็นมรรค มีกายแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา เป็นสมบัติเฉพาะตัวเลยตั้งแต่เกิดจนตาย 

แต่มัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยปละละเลย ...มีสมบัติอยู่กับตัวไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ มัวแต่ไปแสวงหาธรรมที่ไกลตัว นอกตัว อนาคตบ้าง อดีตบ้าง ความคิดความเห็นลอยเลื่อนไปในอากาศบ้าง

กายมีใจมีแสดงอาการอยู่ ขันธ์มีแสดงความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา ...มัวแต่ไปแจ้งในขันธ์คนอื่น มัวแต่จะไปทำความแจ้งกับความเห็นคนอื่น มัวแต่จะทำความแจ้งกับคำพูดคนอื่น กับการกระทำของคนอื่น

มันจะไปนิพพานได้งั้นนะ มันคิดว่ามันจะไปนิพพานด้วยการแจ้งในการกระทำของคนอื่นรึไง หรือไปเข้าใจความคิดความเห็นคำพูดของคนอื่นแล้วมันจะเข้านิพพานได้มั้ย

กับการที่ว่า อ้อ ความเห็น..รู้...นี่เกิดขึ้นเป็นอาการหนึ่ง เห็นแล้วรู้...อ๋อ แล้วเป็นไง สิ่งที่ถูกรู้คือความเห็น...อ้อ  แล้วสิ่งที่ถูกรู้..ดูต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แล้วเป็นไง..อ้อ ดับไป

เนี่ย น่าเบื่อ น่าเบื่อมาก มันไม่ค่อยรอบรู้อะไรเลย มันไม่ได้แตกฉานในเรื่องคนอื่นเลย ...มันก็เลยง่อม เบื่อออ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่กระชุ่มกระชวย

ไม่เหมือนกับนั่งคุยกัน ถ้าใครพูดเรื่องคนนั้นคนนี้ขึ้นมา อู้หูย หูนี้ผึ่ง พั่บๆ จิตนี่เกิดภาวะตื่น (เสียงหัวเราะกัน) ...พอกูอยู่คนเดียวนี่กูไม่ตื่น กูซึม จิตมันไม่มีพลัง

หรืออย่างเช่นว่าพอเขาพูดว่าอาจารย์คนนั้นเขาพูดอย่างนี้ ไอ้คนนั้นทำอย่างนั้น ปฏิบัติได้อย่างนี้ ...ทะลึ่งขึ้นมาเลย ตื่น...โอ้โห ไหนๆ เป็นไง ...นี่ เริ่มไหวแล้วก็ไหล

แต่มาอยู่คนเดียว ...อยู่คนเดียวในห้องนี่สักชั่วโมง มันชักเหมือนหนูติดจั่นแล้ว หันรีหันขวาง ...เปิดเน็ทก็แล้ว เฟซบุ๊คก็แล้ว (หัวเราะกัน) ดูซิมันแช็ทถึงเรามั้ย ดูซิมันมีข้อความเราลงมั้ย ...อยู่ไม่สุข เริ่มอยู่ไม่สุขล่ะ

เพราะนั้น ต้องกลับมาตั้งมั่นให้ได้...ในตัวเอง ในปัจจุบันอาการ  ให้เท่าทัน อย่าไหลไปตามอาการ ...กลับมาดูกายบ่อยๆ จิตจะตั้งมั่น

เวลามันจะพาไปทำอะไร ให้กลับมารู้ตรงนี้...ตรงที่มือกำลังหยิบ กำลังไหว กำลังจับ ...ให้มันกลับมาดูที่ความรู้สึกตัวขณะนั้น...บ่อยๆ

เพื่ออะไร ...เพื่อจะทำให้มันขาดช่วงของสันตติ ความเห็นความคิด ...มันจะได้สติในกายปัจจุบัน ตั้งขึ้นมามันจะได้เกิดความสงบ ระงับ สันติ กับสิ่งที่ถูกรู้ในปัจจุบัน

เวลาทำอะไร เวลาหยิบจับอะไร พยายามทำช้าๆ เคลื่อนไหว ดูอาการให้ชัดเจน  ให้เห็นเป็นการเคลื่อน การหยิบ การจับ ...จิตมันจะเกิดความสันติกับกายในปัจจุบัน

ความสงบก็จะเกิดขึ้นตรงนั้น ตรงขณะที่กำลังเห็นว่าเคลื่อน เห็นว่าไหว แล้วก็รู้อยู่ตรงนั้นน่ะ มันมีความสงบอยู่ในขณะนั้น ดูสิ

สงบอยู่ตรงนั้นบ่อยๆ ทีละนิด ทีละขณิกๆ แล้วให้ต่อเนื่อง...เป็นความรู้สึกตัวต่อเนื่อง ดูให้เห็นความรู้สึกตัวต่อเนื่อง เกิดทางนี้แล้วก็ดับทางนั้นต่อ 

ขยันหน่อย ...มันไม่สนุกหรอก มันไม่มัน มันไม่มีมันในอารมณ์หรอก ไม่มีที่เหมือนกับเราแสวงหาแล้วได้มาเสพทางหูทางตา นั่นมันน่าเพลิน มันเพลิน มันพอใจ

แต่ลักษณะนี้มันจะเกิดความสงบ ระงับ แล้วก็สันติ ...แต่มันจะมีปัญญา เห็นความไม่ต่อเนื่อง เห็นความเกิดดับของกาย ...นี่ จะเห็นกายตามความเป็นจริง

เพราะกายตามความเป็นจริงคือแค่ความรู้สึกตัวเท่านั้น ไม่ใช่รูปที่เราเห็น ...ถ้าอยากรู้ว่ากายเป็นยังไง หลับตาแล้วก็ดูซิ กายคืออะไร ...นั่นแหละ กายก็เหลือแค่ความรู้สึกตัวเท่านั้น...ไม่มีภาพใดๆ ทั้งสิ้น 

มีลมพัดก็รู้สึกว่าเย็น แสดงว่ากายนี้เย็นอยู่ พอลมหายปั๊บ เย็นดับ เป็นแข็งๆ อ่ะ กายเป็นแข็งอีกแล้ว พั้บ เมื่อย เอ้า กายเปลี่ยนเป็นเมื่อยอีกแล้ว ระหว่างนั้นลมพัดมาอีกกรรโชกนึง พั่บ อ้าว กายเป็นเย็นอีกแล้ว 

เห็นรึเปล่า เห็นกายเกิดดับมั้ย ...แล้วกายคืออะไรล่ะ มันมีรูปร่างรูปทรงที่แท้จริงมั้ย เนี่ย

แต่ถ้าลืมตาเมื่อไหร่ก็เห็นเป็นหญิงเป็นชายอยู่อย่างนี้ ...อันนี้คือภาพ ต้องแยกให้ออก...ภาพคือภาพกายที่เห็น ...อย่างถ้าตอนกลางคืนไม่มีแสงนี่ไม่เห็นคนเลย ภาพไม่เห็นแล้ว ...มันเหลือแค่กายตัวเดียวน่ะ


(ต่อแทร็ก 3/17  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น