วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/27 (1)



พระอาจารย์
3/27 (540408)
8 เมษายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เพราะอะไร ...เพราะมันรู้แล้วมันละเลย ไม่เอาเลย  อดีต...ไม่เอา อนาคต...ไม่เอา ปรุงไปปรุงมา...ไม่เอา ...จนสุดท้ายแม้แต่มรรคผลนิพพานก็ไม่เอา

อยู่ตรง “นี้”  ให้มันตายอยู่ตรง “นี้”  ตายอยู่กับปัจจุบันนี่แหละ ...จนจิตมันหยุดดิ้น จนใจมันไม่ดิ้น จนใจมันหมดอาการดิ้น จนใจมันหยุดความปรุงแต่งน่ะ

หยุดการปรุงแต่งต่อรูปเสียงกลิ่นรส ทั้งในอดีต ในอนาคต และในปัจจุบัน ...แม้แต่ในขณะปัจจุบันนี่ เวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็จะมีอาการยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง

ก็เท่าทันในอาการนั้น ไม่ไปปรุงต่อ ...รู้แล้วละเลย รู้แล้วทิ้งเลย อย่าไปคิด อย่าไปหาความถูกความผิด อย่าไปหาเหตุหาผล อย่าไปหาความเป็นจริงในมัน ...มันไม่มีความเป็นจริงอะไรหรอก

เราถามโยมว่า มีอะไรในกอไผ่ มีอะไรในกอไผ่ไหม  ต่อให้กอไผ่เปลี่ยนเป็นกออื่น ชนิดอื่น ก็มีอะไรในกอไผ่มั้ย ต่อให้กอไผ่นั้นเลี่ยมเพชรเลี่ยมทอง ออกหน่อเป็นเพชรเป็นทอง

นั่น มันก็ไม่มีอะไรใช่ไหม...ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ ไม่ต้องไปหาว่ามันมีอะไรในนั้น ...ไม่มีอะไร มีอยู่แค่นี้แล้วก็ดับ แล้วก็เปลี่ยน...อยู่แค่นั้นแหละ

เพราะนั้นการปฏิบัติธรรม ทำมาแทบตาย ค้นหามาแทบตาย ...สุดท้ายก็ต้องมาหยุดอยู่กับการที่ไม่ทำอะไรเลย

อยากได้แทบตาย สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ว่าไม่เอาอะไรเลย รู้กับแค่สิ่งที่มันปรากฏเท่านั้น

จนเห็นว่าเป็นเรื่องของมัน ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปมีความเห็นกับมัน ไม่เข้าไปหาเหตุหาผลกับมัน ก็จะเห็นว่ามันเป็นแค่สักแต่ว่า อะไรก็ไม่รู้ที่สักแต่ว่า

แต่ถ้ามันยังมีการทะยานออกไป ...ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ...ให้ทัน อย่าตามมัน อย่าเชื่อมัน อย่าไปมีไปเป็นอะไรกับมัน ...ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้อะไรหรอก ได้แต่ความดับไปเป็นธรรมดา

หาแทบตาย ได้มานิดหนึ่งก็ดับ ...มีความรู้นั้นความรู้นี้ ความรู้นั้นก็ไม่คงอยู่หรอก เดี๋ยวก็เปลี่ยนเดี๋ยวก็ดับ มันไม่มีอะไรเป็นสาระหรอก...ในโลกนี้ ทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีอะไรเป็นสาระหรอก

ให้กลับมาเห็นความสำคัญอยู่ในที่อันเดียว คือใจที่รู้...รู้ใจ ...มีอะไรเกิดขึ้นกลับมารู้ใจ กลับมารู้ที่ใจ กลับมารู้อยู่กับรู้นั่นแหละ ...อยู่แค่รู้นั่นแหละ

โกรธก็รู้ว่าโกรธ โกรธมากรู้ว่าโกรธมาก สงสัยรู้ว่าสงสัย อยากรู้ว่าอยาก ไม่อยากรู้ว่าไม่อยาก ...ให้อยู่แค่รู้ ไม่ต้องมากเกินกว่านี้ ไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องไปปรุงต่อกับมัน ไม่ต้องไปจับมันมาเป็นอารมณ์ต่อเนื่อง

รู้มากๆ เจริญสติ อะไรเกิดขึ้นให้รู้...พอแล้ว ...ไม่เอาอะไร รู้แบบไม่มีเป้าหมายน่ะ รู้แบบไม่ตั้งเป้าอะไร รู้แบบไม่ห้ามอะไรเกิดหรือไม่เกิดน่ะ ...อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้

เดินก็รู้ ยืนก็รู้ นั่งก็รู้ คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้ เฉยก็รู้ กังวลก็รู้ กลัวก็รู้ วิตกก็รู้ อยากก็รู้ สงสัยก็รู้ ดีใจก็รู้ เสียใจก็รู้ ...รู้มันเข้าไป รู้อย่างเดียว ไม่เอามากกว่านั้น

ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ปรากฏ ไม่เรียกร้องในสิ่งที่ไม่ปรากฏ...รู้เข้าไป ...ไม่ห้าม ไม่แก้ แล้วก็ไม่หนี ...โง่เต็มขั้นเลยแหละ นี่ จึงจะกลับไปสู่ธรรมชาติตามความเป็นจริงของขันธ์กับใจ

เพื่อให้เห็นว่าในโลกนี้...มีอยู่แค่สองสิ่ง คือสิ่งที่ถูกรู้กับรู้  ไม่เห็นมีอะไรมากกว่านั้นเลย ...แล้วก็เห็นไอ้สิ่งที่ถูกรู้มันจะแตกต่างกันตรงไหน มันก็คืออาการหนึ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับ

โยมนั่งอยู่นี่ โยมมองเห็นต้นไม้มั้ย เห็นแสงสว่างนี่มั้ย ...โยมเดือดร้อนมั้ย ทำไมถึงไม่เดือดร้อน เขาเป็นของใครไหมนี่ เขาเป็นธรรมชาติไหมนี่

โยมก็รู้มันควบคุมไม่ได้ใช่ไหม เป็นเรื่องของเขาใช่ไหม โยมเลยรู้สึกว่าไม่เห็นเดือดร้อนตรงไหน ...นี่คือธรรมชาติใช่ไหม

แล้วกายอันนี้ไม่ใช่ธรรมชาติหรือ ใจนี่ไม่ใช่ธรรมชาติหรือ โยมก็แค่นั่งดูกายดูใจนี่ เหมือนกับโยมมองเห็นธรรมชาติทั่วไป นี่

โยมจะเลือกได้ไหมเนี่ย...สิ่งที่ทั้งปวงนี่ เลือกได้มั้ย ในอาการที่มันปรากฏ จะให้มันเปลี่ยนไปดังที่ต้องการได้ไหม โยมห้ามมันก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็มืด จะให้มันแจ้งอีก มันไม่ฟังเราหรอก

นี่คือธรรมชาติ ...เมื่อเราเข้าใจความเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนี้ เห็นมั้ย ผลก็คืออะไร...ก็เห็นเป็นเรื่องของเขา ...ยอมรับ ไม่เดือดร้อน ไม่มีทั้งปฏิฆะ ไม่มีทั้งราคะ

เห็นมั้ย ถ้าเราแค่เข้าใจนี่ ไม่เห็นจะต้องละกิเลสเลย เพราะมันจะไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเลย ก็เข้าใจแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

มันไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติเพื่อละกิเลสนะ ...แค่รู้ตามความเป็นจริงนี่ นี่เรียกว่าปัญญา...รู้อย่างนี้ อย่างที่โยมรู้นี่ เรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ เพราะเห็นไตรลักษณ์ มันถึงเกิดการยอมรับ

ไตรลักษณ์ยังไง ...เดี๋ยวก็เปลี่ยน ก็รู้ว่ามันเปลี่ยน เห็นว่ามันไม่มีใครเป็นเจ้าของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันเอง เกิดเอง ตั้งเอง ดับเองตามเหตุปัจจัย เปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย

เนี่ย โยมเห็นไตรลักษณ์โดยที่ไม่เข้าใจว่ามันเป็นไตรลักษณ์ ...แต่เพราะเห็นไตรลักษณ์ เข้าใจในความเป็นไตรลักษณ์นี่ จึงไม่มีทุกข์กับมัน

เหมือนกันกับที่พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นกายกับใจ...เหมือนกัน ...จนกว่ามันจะเชื่อว่านี่คือธรรมชาติที่ไม่ใช่ของเรา เป็นสิ่งที่ปรากฏตามเหตุและปัจจัย แค่นั้น

ใจก็มีหน้าที่...เหมือนกับเรานั่งอยู่อย่างนี้ อยู่เฉยๆ ดูเฉยๆ ...อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจ อย่าไปเต้นแร้งเต้นกา อย่าไปห้ามแดด ห้ามฝน ห้ามฟ้า อย่าไปดึง บังคับให้มันหยุด ให้มันอยู่ หรืออะไร

เห็นมั้ย นั่งอยู่แล้วก็รู้เห็น แค่รู้กับเห็น แล้วก็...เออ มันก็เป็นอย่างนี้ ยอมรับมันได้ ...แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเมื่อไหร่ เราจะเกิดการเข้าไปวิตกวิจารณ์ เข้าไปหาเหตุหาผล

“ทำไมฝนมันตก เอ้า แล้วทำไมฝนมันถึงหยุดตก ทำไมไม่ตกนานกว่านี้ และเพราะอะไรมันถึงหยุดตก” ...นี่ สงสัยในสิ่งที่ไม่น่าจะสงสัย

อย่าไปเข้าใจว่า...เมื่อพิจารณาแล้วจะเกิดความเข้าใจว่าที่ฝนมันตกหรือไม่ตกเพราะอะไรนี่แล้วมันจะเกิดความรู้แจ้งนะ ...เพราะมันยังมีอะไรให้อยากรู้อีกเยอะแยะเลย

“ทำไมวันนี้มันตกน้อยกว่าเมื่อวาน ทำไมวันนี้มันตกนานกว่าเมื่อวาน ทำไมเม็ดมันมากกว่าเมื่อวาน ทำไมเม็ดมันเล็กกว่าเมื่อวาน ทำไมเม็ดมันใหญ่กว่าเมื่อวาน”

เห็นมั้ย มันจะมีที่ให้สงสัยไม่จบสิ้นเลย...สงสัยในธรรม ...เพราะธรรมน่ะไม่มีความคงอยู่ หรือเที่ยง หรือคงที่ เป็นอันเดียว มันแปรไปตามเหตุและปัจจัยมากมาย

แค่รู้แล้วก็ยอมรับ จะเป็นอะไรก็ช่าง จะขุ่น จะมัว จะเศร้า จะหมอง จะกลัว จะโกรธ จะพอใจ จะดีใจ จะเสียใจ...ช่างมัน แค่รู้ ...เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน ดูความเปลี่ยนไปของมันเอง ไม่มีอะไรหรอก

จนกว่าใจมันจะยอมรับถึงความไม่มีอะไรในสิ่งที่มันปรากฏนี่ ถึงจะเข้าใจคำว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่ สุดท้ายก็เหมือนกันหมดในความดับไป หาตัวตนไม่ได้ ไม่มีตัวตน จนหายสงสัยในที่ทั้งปวง

ยังสงสัยกับอะไรอยู่ ยังข้องกับอะไรอยู่ ยังไปหมายกับอะไรอยู่ ยังไปคาดกับอะไรอยู่...สังเกตดู ...แล้วจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรหรอก ที่เราควรไปข้อง หรือไปแอบไปอิง ไปอาศัย ไปพึ่งไปพิงมัน

เอาง่ายๆ ถ้ามันไปติด ถ้ามันไปข้องอยู่กับอะไร ให้กลับมาอยู่กับ...ตาเห็นรูปในปัจจุบัน หูได้ยินในปัจจุบัน กายที่กำลังนั่งยืนเดินนอนในปัจจุบัน

แล้วมันจะเห็นเลยว่าอาการที่กำลังข้องในนั้น ไม่เห็นมีอะไรเลย ...มันจะแสดงความไม่มีตัวไม่มีตนให้เห็นในขณะนั้นเลย

เห็นบ่อยๆ มันก็จะเข้าใจความหมายว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน จับต้องไม่ได้

จะไปติดอะไรกับมันนักหนา จะไปเอาอะไรกับมัน จะไปเอาอะไรกับ “เรา” จะไปเอาอะไรกับอากาศ คว้าอากาศ นั่น ...มันเป็นแค่นิมิต

แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ มันจะสร้างขึ้นมาเป็นภพ ให้เราไปหยุด ไปยืน ไปอยู่ ไปจับ ไปหน่วง ไปเหนี่ยว ไปอาลัย ไปเสียดาย ไปหวงแหน ไปหา ...มันเป็นภพทั้งนั้น

เมื่อรู้ว่าไปหยุดกับอะไร ...ละเลย ทิ้งเลย อย่าเสียดาย ...กลับมาอยู่กับปัจจุบันซะ รู้ตัว วิธีง่ายๆ กลับมารู้ตัว ...เพราะตัวมันมีอยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา

ตัวคือกาย นี่ มีแค่ตัวกับรู้ กลับมารู้กับกายกับใจในปัจจุบัน...นี่เป็นปัจจุบันที่สุดแล้ว

อยู่กับปัจจุบันบ่อยๆ ...แล้วจะเห็นว่า นอกจากนี้ไปน่ะมันเป็นแค่อาการ วูบๆ วาบๆ วอบๆ แวบๆ ไหลไปไหลมาแค่นั้นเอง ไม่เห็นมีสาระอะไร ไม่มีแก่นไม่มีสารอะไร


(ต่อแทร็ก 3/27  ช่วง 2)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น