วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/28 (2)


พระอาจารย์
3/28 (540413)
13 เมษายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ต้องเจริญขึ้นเยอะๆ ...เผลอเมื่อไหร่..รู้ เผลออีกรู้อีก แล้วให้ต่อเนื่องไป ...ประคองก็ประคองเหอะ  ประคองสติไม่เป็นไรหรอก...รู้ไปก่อน ให้มันต่อเนื่อง

อย่าให้มันไปอยู่ไปจมกับความเพลิน ความไม่มีอะไร เพลินกับสบาย ลอยเหมือนว่าวลอยลม เหมือนลูกโป่งลอยไปลอยมา ...มันก็ไม่สุข มันก็ไม่ทุกข์  แต่มันลอย มันลอยๆ มันไม่มีรู้อยู่

ให้มันมีรู้ ให้มันมีรู้อยู่กำกับๆ ...เหมือนหมากับหมัดที่เกาะติดกันอย่างนั้นเลย มันถึงจะเข้าใจ มันถึงจะอ๋อ เข้าใจแล้ว ...ไม่อย่างนั้นมันก็จะสงสัย

คาอยู่กับสงสัย คาอยู่กับว่าโทษนั้นโทษนี้ ตินั่นตินี่ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เหตุนั้นเหตุนี้ ...มันหลายเหตุเหลือเกิน หือ ทำไมมันหลายเหตุ เพราะคนนั้น เพราะเสียงนี้

เพราะเหตุการณ์อย่างนั้น เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ ให้เราเป็นเหตุต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ...นี่ มันไม่เข้าใจ อย่างนี้เรียกว่ายังไม่เข้าใจ ว่าเหตุจริงๆ อยู่ที่ไหน

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่แล้ว มันจะรู้เลยว่าเหตุที่แท้จริงคืออะไร ...เพราะนั้นถ้าเห็นเหตุที่แท้จริง ว่าคืออะไร อยู่ที่ไหน มันจะไม่ไปแก้ที่เหตุอื่น มันจะไม่ไปแก้ที่ในอดีต มันจะไม่ไปแก้ที่อนาคต

มันจะไม่ไปแก้ที่เสียง มันจะไม่ไปแก้ที่รูป มันจะไม่แก้ที่กลิ่น ที่ภายนอก ...มันจะกลับมาแก้ที่เหตุภายใน ไล่มาตั้งแต่ความอยากลงมาถึงผู้รู้ หรือตัวรู้...นั่นแหละเป็นเหตุภายใน

เพราะนั้นถ้าเท่าทันหรือเห็นว่าทุกอย่างนี่ มันเกิดจากความอยากและไม่อยาก และทุกอย่างเกิดที่ก่อนจะเกิดความอยากและไม่อยาก ...ตอนนั้นแหละมันถึงจะเรียกว่าลืมตาอ้าปากได้

นั่นมันก็พอจะไม่ไปวุ่นวายกับภายนอกแล้ว ...ไม่อ้างนั้นไม่อ้างนี้ ไม่อ้างกาลเวลา ไม่อ้างสถานที่ ไม่อ้างบุคคล ไม่อ้างชาติที่แล้ว ชาติหน้า ชาติหลัง

ไม่อ้างธรรมะที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไม่อ้างครูบาอาจารย์ ไม่อ้างตำรับตำรา ไม่อ้างอะไรทั้งสิ้น ไม่อ้างอิงกับสารบัญต่างๆ ในจิต ที่คิด ที่ปรุง ที่หา ที่จำได้ 

มันจะกลับมาเหตุ ระวังเหตุ รู้ที่เหตุ ...จะยืดยาวออกมาก็แค่ความอยากกับไม่อยาก ถอยหลังกลับไปก็แค่รู้ ...มันจะอยู่แค่ตรงนั้นน่ะ มันอยู่เท่านั้นน่ะ แล้วทุกอย่างก็ทำไปตามปกติ

ยืนเดินนั่งนอนก็ทำไป ทำงานก็ทำไป คิดก็คิดไป พูดก็พูดไป ...แต่มันไม่ออกจากเหตุเลย สติมันจะเกาะแน่น เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในที่อันเดียว ไม่หลายอันแล้ว

แต่เดี๋ยวนี้พวกเรานี่...สติทั่วไป เดี๋ยวไปรู้ทางตา เดี๋ยวก็ต้องรู้ทางหู เดี๋ยวก็รู้ทางกาย เดี๋ยวก็ต้องรู้กับอารมณ์ เดี๋ยวก็ต้องรู้ความคิด ...มันหลายที่เหลือเกิน

เห็นมั้ย มันมีหลายเหตุที่จิตมันออกไปสร้างทุกข์ตรงนั้นทุกข์ตรงนี้ ...ต่อไปมันจะเห็นว่าทุกข์มันเกิดอยู่ที่เดียว คือตรงที่เกิดความอยาก กับตรงที่เกิดความไม่อยาก

แล้วก็พอสติมันแนบแน่นมั่นคงขึ้นปุ๊บ มันก็จะทันก่อนที่เกิดความอยาก มันมีอยู่ ...แล้วความอยากมันโผล่มาจากตรงไหน อยู่ตรงนั้นน่ะ ตรงที่รู้อยู่ภายในนั่นแหละ

ตรงที่เห็นก็รู้ ได้ยินก็รู้ คิดก็รู้ นั่งก็รู้ ปวดก็รู้ เมื่อยก็รู้ ไหวก็รู้ นิ่งก็รู้ ...เนี่ย อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ไอ้ตรงรู้นี่แหละ มันออกมาจากตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว

นี่ มันก็จะมาสงบระงับอยู่ภายใน แต่มันไม่ได้สงบแบบไม่มีอะไรปรากฏ ...มันสงบระงับแต่เฝ้ารอดูอยู่ด้วยสติสมาธิและปัญญา

นี่เขาเรียกว่าอยู่พร้อมกันครบทั้งสามทัพ...ศีล สมาธิ ปัญญา...อยู่ภายใน  เพื่อสังเกตการณ์เท่าทัน ณ อาการที่มันกำลังจะเกิดเหตุ ...นี่ ไฟมันจะขึ้นมาจากนี่แหละ

ท่านไม่ไปไล่ดับไฟที่ล้อมบ้านล้อมเมือง ที่นอกบ้านนอกเมือง ท่านไม่สนแล้ว...ไหม้ก็ไหม้ไป เพราะไฟนรก ไฟโลกนี่มันไหม้กันอยู่แล้วเป็นธรรมดา

แต่ท่านเข้ามาดับไฟภายใน คือเหตุ...ตรงนี้แหละๆ ...ไอ้ไฟข้างนอกทั้งหมดนี่มันหลุดออกมาจากตรงนี้แหละ ที่ไปเผาไปไหม้อยู่ภายนอกนั่น

เนี่ย แม่ทัพสามทัพ...ศีลสมาธิปัญญา ก็จะคอยอารักขาใจ อยู่ที่ใจ รวมลงเป็นมรรคสมังคีอยู่ที่นั่น ไม่ไปไหน ไม่เผลอ ...สอดส่อง น้อมกลับ โยนิโส แยบคายอยู่ที่เดียวนั่นแหละ

เห็นมั้ย งานเริ่มสั้นลงแล้ว ไม่ยืดไม่ยาว ไม่เยิ่นเย้อ ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่หาเหตุไม่หาผล ไม่ขึ้นกับอดีต ไม่ขึ้นกับอนาคต ไม่ขึ้นกับอะไรทั้งสิ้นแล้ว

มันอยู่ที่ตรงเนี้ย ที่ตรงที่รู้น่ะ...รู้อยู่ไหน มันก็ทุกอย่างน่ะโผล่ออกมาจากตรงนี้ เคยโกนผมกันมั้ย ไม่เคยมั้ง เคยเห็นพระโกนผมมั้ย เคยเห็นพระหัวล้านมั้ย ...ทำไมมันมีผมงอกอยู่


โยม –  เพราะมันมีรากผมอยู่ ธรรมชาติมัน

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย มันมีเหตุปัจจัยภายในของมัน ...เหมือนกับใจดวงนี้ ตราบใดที่มันยังมีเหตุปัจจัยอยู่อย่างนี้ มันก็จะงอกขึ้นมาเหมือนผม

เพราะนั้นตัวศีลสมาธิปัญญาที่อยู่ตรงหัวนี่ ...เห็นผมขึ้นมาเมื่อไหร่...โกน คือไม่เอา ไม่ให้ยืดยาว  ถ้ายืดยาวแล้วเดี๋ยวมันเป็นเทรนด์ เข้าใจมั้ย (หัวเราะกัน)

เดี๋ยวก็ไปแต่งแล้ว เดี๋ยวก็เป็นสวย-ไม่สวย ผมแห้ง ผมแตกปลาย ผมเป็นมัน ผมแข็งกระด้าง ผมหยิกผมหยอย ...มันก็เป็นความรู้สึกมากมายก่ายกองในโลกนี้

เอาเป็นว่า มึงโผล่มาไม่ถึงเซ็นต์...กูก็โกน...ไม่มีเทรนด์แล้ว ...เหมือนกัน คืออุปมาอุปไมยเหมือนใจ ศีลสมาธิปัญญาที่อยู่ในที่ตรงนั้นน่ะ ไม่ให้มันหลุดรอดออกมาเลย

ไม่ได้บังคับนะ ...เพราะเราก็ไม่ได้บังคับไม่ให้มันไม่งอกใช่มั้ย ...นั่น เอาจนกว่ามันไม่งอก นั่นแหละถึงว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จิตดวงนั้นใจดวงนั้น หมดสิ้นซึ่งความปรุงแต่งภายใน

จึงจะเรียกว่าหมดสิ้นซึ่งอวิชชาปัจจยาสังขารา ...ไม่รู้เมื่อไหร่ แต่เรารู้อย่างเดียวว่า ไม่มีอะไรเกินกว่าความเพียร แม้แต่หินเหล็กเท่าภูเขายังฝนเป็นเข็มได้น่ะถ้ามีความเพียร

เราไม่รู้หรอก เราไม่ต้องคาดกาล คาดเวลาเลย ...อยู่ที่นั่นแหละ ท่านไม่อ้างอะไรแล้ว ผู้มีปัญญาท่านไม่อ้างอะไรแล้ว ท่านอยู่ตรงนั้นแหละ ทำงานของท่าน ด้วยศีลสมาธิปัญญา 

ก็ทำงานอยู่ตรงนั้นแหละ งานอย่างนี้ ...นี่แต่ก่อนเราเคยเข้าใจว่าต้องทำงานหาเงิน ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ตามคนโลกเขาทำกัน

นี่ ตามธรรมเนียมนั้นตามธรรมเนียมนี้ แล้วเราจะเห็นเป็นเรื่องสาระสำคัญกันไปหมด ต่อไปนี้นี่ จะเห็นไอ้พวกนี้ไม่สำคัญเท่าไหร่เลย เป็นแค่เขาเรียกว่า...ซับเมนูน่ะ ไม่ใช่เมนคอร์ส

แต่ตอนนี้พวกเรายังเห็นสติสมาธิปัญญาเป็นซับเมนู ไม่ใช่เมนคอร์ส ...พวกเรายังเห็นการงาน อาชีพ ความเป็นอยู่ การสัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนต่างๆ การเอาอกเอาใจเขา จนเป็นงานหลัก

กลัวไปหมด  กังวล วิตก กลัวเขาไม่เข้าใจเรา กลัวเขาเข้าใจเราผิด กลัวคนนั้นคิดไม่ดี กลัวคนนี้เขาทำไม่ดีกับเรา แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะต้องวางตัวอย่างนี้ เกร็งไปหมด เครียด กังวลไปทุกเรื่อง 

ไร้สาระ ต่อไปเราจะเห็นว่าไร้สาระจริงๆ กับเรื่องเหล่านี้ แต่เราจะเห็นในสาระที่ยิ่งใหญ่สมควรแก่การเกิดมาแล้วได้เห็นอาการตรงนี้ ...โอ้โฮ เอาทองกองเท่าภูเขาแล้วให้เลิกทำ ท่านยังไม่เลิกเลย 

เทียบกันไม่ได้เลย ...เพราะท่านเห็นตรงนี้ เหมือนเห็นขุมทรัพย์ที่แท้จริง ขุมทรัพย์ของพระอริยะ เป็นอริยทรัพย์ ไม่ทิ้งเลยๆ ...เอามีดมาปาดคอ เอาอะไรมาจ่อมาข่มขู่ ไม่มีถอย ไม่มีออกจากที่ตรงนี้เลย

บอกว่า ทำอย่างนั้นดีกว่านะ ทำอย่างนี้ถูกกว่านะ ทำแล้วคนนั้นเขาได้ผลอย่างนี้นะ คนนี้เขาไปอยู่ตรงนั้นแล้วได้อย่างนี้นะ ...นั่น ท่านไม่ฟังเลย

ไม่ใช่ดื้อนะ ไม่ใช่มีทิฏฐิมานะนะ ...แต่มันยอมรับด้วยตัวของมันเองเลยว่าไม่ใช่ที่อื่นเลย...อยู่ที่เดียว เอาจนว่าเหลือใจรู้ดวงเดียว ความรู้อื่นไม่มี

ตอนนี้พวกเราอยากรู้ อยากรู้ไปหมด เอาความรู้ในธรรมนั้นธรรมนี้  ใครเขาพูดเรื่องธรรมะนี่หูนี่ผึ่งบานเลย อยากรู้อยากเข้าใจ จะได้เก็บมาสะสมหายความสงสัยแล้วจะได้เข้าใจแจ้งชัดขึ้น 

ต่อไปจะเห็นว่าไอ้ความรู้พวกนี้ไม่สำคัญ ไม่มีสาระเลย ...แม้แต่ในธรรมละเอียดปราณีตขนาดไหน ฟังแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ ลิงโลดกระโดดโลดเต้นขนาดไหน

ในใจน่ะ...บางทีฟังแล้วมันกระโดดโลดเต้นนะ โลดเต้นด้วยความอยาก ...นั่น มันไม่สนใจแล้ว สนใจอยู่ความรู้เดียว รู้ที่เดียว มีรู้อันเดียว

และรู้อันเดียวตรงนี้ เป็นรู้ที่ไม่รู้อะไร เป็นรู้ที่ไม่มีอะไรในนั้นเลย มีแต่รู้ๆ เข้าใจมั้ย นั่ง...รู้มั้ย ...เออ ในรู้นั้นมีอะไร มีความรู้อะไรในนั้นมั้ย ...เออ นั่นแหละ

แต่ตอนนี้เราเห็นว่าไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่น่าอภิเชษฐ์เท่าไหร่เลย ...สู้ไอ้ความรู้ที่มันได้รู้เห็นมีความเข้าใจ มีความลึกซึ้ง มีอะไรต่อมิอะไรไม่ได้เลย อย่างนี้

เพราะนั้น...รู้เปล่าๆ รู้ธรรมดา ภาษาเหนือเขาเรียกว่ารู้บ่ดาย รู้ซื่อๆ รู้กลวงๆ นั่นแหละ ...นี่แหละ เหลือรู้อันเดียวนี่แหละ จึงจะเรียกว่าเข้าถึงจิตหนึ่ง จิตเอก

จิตเอกจึงจะเห็นธรรมเอก ธรรมที่อยู่ต่อหน้ามันในปัจจุบันนั่นน่ะธรรมเอก ...ไม่มีธรรมอื่น ไม่มีธรรมข้างหน้าข้างหลังตรงนั้นตรงนี้...ไม่มี ไม่มีธรรมที่คิดไปคาดไปคะเนเอา สงสัยไป...ไม่มี

มีแต่ธรรมตรงนี้ที่ปรากฏในปัจจุบันแล้วมันรู้อยู่ เช่น เห็นรู้ว่าเห็น ได้ยินรู้ว่าได้ยิน ...เนี่ย มันเป็นธรรมหนึ่งจากจิตหนึ่ง เข้าใจมั้ย 


(ต่อแทร็ก 3/28  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น