วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/30 (3)


พระอาจารย์
3/30 (540421)
21 เมษายน 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/30  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  แต่ถ้ามันยังมียังเป็นได้ เพราะมันคาอยู่ที่คิด จำ...เป็นภพ ติดอยู่ตรงนั้น ติดด้วยความข้องแวะ เกาะเกี่ยว เหนี่ยวรั้ง ทะยาน หา ไขว่คว้า รักษา ครอบครอง ไม่ยอมปล่อย กลัวไม่ได้ 

แล้วก็ไม่เห็นว่า...ได้มาแล้วก็สุดท้ายมันก็หายสู่สายลมและแสงแดด อย่างนี้  ชื่อเสียงลาภยศเหมือนสายลมและแสงแดดอย่างนี้ ...มันไม่เห็นความจริงนี้ 

ว่าที่สุดของความจริงน่ะ...ไอ้ที่ได้คืออะไร ไอ้ที่ไม่ได้คืออะไร...นั่น มันมีความจริงเดียวกัน

เมื่อตายแล้วจึงจะเห็น ...แต่มันไม่ทันซะแล้ว ดันตายไปซะก่อน ถึงจะ...อ๋อ รู้แล้ว ไม่ได้อะไรเลย ...นี่ ไม่ทัน ไปเห็นตอนตายก็ไม่ทัน

มันต้องให้ตายบ่อยๆ คือให้เห็นตอนอยู่นี่...ว่าเห็นความดับไป ความไม่คงอยู่ ...มันก็มาเรียนรู้ตอนมีชีวิตอยู่ สะสมปัญญา พอกพูนปัญญาขึ้นมา

มันติดอะไร มันข้องอะไร...ถึงจะละไม่ได้ ยังวางไม่ได้กับความเห็นที่แข็งแกร่ง ตัวเราที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุปัจจัยแวดล้อมที่ว่าผลักดันเรา ...ก็ให้ชะลอยับยั้งด้วยสติสัมปชัญญะ 

อย่าให้ถลำจนเสียร่องเสียหลัก จนหลักมันง่อนแง่นคลอนแคลน โยกไปโยกมา โอนเอนเหมือนไม้หลักปักเลน ไม่ตั้งมั่น มันไม่ตั้งมั่นปักสติอยู่ เป็นตัวชะลอการทะยานเข้าไปในภพข้างหน้าข้างหลัง อย่างนี้

ให้กลับมาอยู่กับภพปัจจุบัน อย่างน้อยก็ให้อยู่กับการยืนเดินนั่งนอน อ่านหนังสือ ดูหนังสือหนังหา ฟังอาจารย์เขาพูดก็รู้ไป ฟังเสียงกระทบเป็นขณะๆ ไป

รู้ไปเป็นขณะไป คิดก็รู้ว่าคิด คิดก็รู้ว่าคิดในงาน ฟังก็รู้ว่าฟัง ...เวลาทำอะไรอยู่ก็รักษาคอยประคอง จำไว้ทำอะไรอยู่ ต้องออกมาดูบ่อยๆ รู้บ่อยๆ สังเกตดูมัน

มันยืน มันเดิน มันนั่ งมันอ่าน มันเห็น มันได้ยินอะไร...รู้อยู่  มันดีใจ มันเสียใจ มันอยาก มันไม่อยาก มันกังวล มันวิตก มันเครียด มันสบาย มันเบา มันหนัก

กลับมารู้บ่อยๆ กำลังทำอะไร กายทำอะไร จิตทำอะไร อยู่ในอาการไหน เป็นตัวชะลอๆ ...ถ้าชะลอบ่อยๆ แล้วมันจะต่อเนื่อง...ต่อเนื่องขึ้นมา

ก็ต่อเนื่องบ่อยๆ คอยทำความต่อเนื่องขึ้นมา ให้มันเห็นเป็นช่วงไป ...ตื่นก็กินข้าว กินข้าวก็จากที่เรียน จากที่เรียนเสร็จก็ถึงที่พัก ให้ช่วงจนยาวเหยียด รู้เห็นต่อเนื่อง

ไม่ได้รู้เห็นเรื่องอื่นเลย รู้เห็นตัวนี้ ขาสองแขนสองหัวหนึ่ง อยู่นี่ ...เรื่องคนอื่นไม่ต้องไปเห็นหัวมันแล้ว ไม่ต้องไปดูหัวมันหรอก ดูหัวตัวเอง กายตัวเอง แขนตัวเอง ขาตัวเอง

อยู่ในศีลห้า...ศีลห้า ขาสองแขนสองหัวหนึ่งนี่ศีลห้า อยู่ในตัว ดูตัว ก็จะเห็นตัวเหมือนหุ่นกระบอกเดินไปเดินมา ย้อกแย้กๆ เดี๋ยวจับนั่นเดี๋ยวคว้านี่ เดี๋ยวก็ขยับนู่นเดี๋ยวก็ขยับนี่

เดี๋ยวก็เกาตรงนู้น หยิบตรงนี้ เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวกระพริบ กระเทือน เคลื่อนไหว ...ดูเห็น จนเห็นทั้งกาย แล้วก็ดูอาการ เหมือนลมพัดลมเพ ฝนตกแดดออกอยู่ข้างในหุ่นกระบอก

นั่นเป็นนาม ก็เห็นอาการของนามไป กับรูป วนเวียนๆ ชนกันไปฟัดกันมา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ...ก็อยู่ไปอย่างนี้ ใจก็ดำเนินรู้ไป โดยไม่เข้าไปจับไปต้องไปแตะ ไปฝืนไปบังคับไปข่มไปรักษา

มันก็เห็นกระบวนการของกายก็พล้อบแพล้บๆ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของมัน ...ภายในก็มีการเห็นตรงนั้นรู้ตรงนี้ ได้ยินตรงนั้น เกิดความคิดตรงนี้ 

พอดับปึ้บแล้วก็เกิดความคิดใหม่ แล้วก็เกิดความคิดนั้น เกิดความรู้สึกนี้ ...มันอยู่กับความเกิดดับตลอด ดูไปดูมาก็แค่นี้ ดูขันธ์เป็นเรื่องอาการ ดูขันธ์มันแสดงละครตามบท

แล้วก็มีผู้กำกับเยอะแยะไปหมด รูปเสียงกลิ่นรสภายนอกก็กำกับ เดี๋ยวอย่างโน้น เดี๋ยวอย่างนี้ เดี๋ยวอย่างนั้น ตามคนนั้นบอก ตามคนนี้ว่า ตามกายนั้นไป

ความคิดก็เกิดตามกายนั้น เรื่องนั้นเวลานั้น แล้วก็ดับแล้วก็เกิดใหม่เรื่องนี้ เหตุนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวทางตา แล้วทางหูก็เกิดความคิดโน้นความเห็นนี้ขึ้นมาแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมาใหม่

โอ้ย วนเวียนอยู่อย่างนี้ มีอยู่แค่นี้...ขันธ์ ...นี่ เมื่อมันเห็นโดยรอบ ก็จะเห็นขันธ์ตามความเป็นจริง มันก็เห็นรอบรู้รอบ รู้รอบเห็นรอบ ว่ามันดำรงอยู่ด้วยเหตุปัจจัยต่อเนื่อง 

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันต่อเนื่องสลับสับเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้นเลย ...นี่กระบวนการของขันธ์เป็นอย่างนี้ 

จนมันดูแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่มีอะไร ทำไมมันไปจริงจังมั่นหมาย เอาเป็นเอาตายกับเหล่านี้เหลือเกิน ...มันก็เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความเบื่อหน่ายกระบวนการที่ทำให้เกิดขึ้นนี่

ได้มาอยู่ ได้มารู้ ได้มาเห็น มันก็เบื่อจะตาย...แต่ก็หนีไม่ได้ ก็ต้องอยู่กับมัน ...จะให้มันหยุด จะให้มันนิ่ง จะให้มันขาด จะให้มันไม่เกิดไม่ดับหรือไม่มีการเกิดจะได้ไม่มีการดับ มันก็ไม่ได้อีก

มันก็เหมือนกับอาการทนกับทุกข์โดยธรรมชาติ โดยหนีไม่พ้น ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด ...จนกว่าจะตายจากกัน มันถึงจะหยุดพักหายใจได้...สำหรับคนโลกนะ

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์...ขันธ์ถ้าหยุดพักหายใจนี่ตายยาวเลย ไม่ต้องมาหายใจอีกแล้ว ตายแล้วตายเลยๆ เขาเรียกว่าตายแบบสมควรตาย

พวกเรามันตายแบบไม่สมควรตาย เพราะมันตายแล้วเหมือนนอนหลับ เดี๋ยวก็ตื่น ตื่นมาเกิดใหม่ ...แต่พระอรหันต์นี่สมควรตาย ตายแล้วตายลับ ตายแล้วดับขันธ์เลย

ดับสองขันธ์เลย ขันธ์นอกขันธ์ใน ไม่มี ไม่มีอะไร ...คือท่านเห็นจนไม่มีอะไรให้สงสัยในขันธ์ ในอายตนะ ในผัสสะ ในธาตุ ในรูปในนาม ท่านเห็นเป็นสิ่งเดียวกัน

แล้วเห็นที่สุดของความเป็นสิ่งเดียวกันนั้นคือไม่มีอะไรเลย นอกจากความดับไป ...นั่น ท่านแจ้งโดยไม่ลังเลเลย ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เลย

นี่แหละจริง...จริงที่สุด เป็นความจริงที่ไม่มีอะไรมาก้าวก่ายลบล้างหรือว่าจริงยิ่งกว่านี้ ...นี่เขาเรียกว่าสัจธรรม เป็นธรรมจริงๆ เป็นโดยสัจจะ

แต่กระบวนการที่เห็นแล้วยอมรับขนาดนั้นคือท่านเห็นเป็นขณะๆ ไป สะสมการรู้การเห็นในขณะๆ หนึ่งนั่นแหละ ....นี่ว่าด้วยปัญญาวิมุติ

คือรู้ด้วยสติสัมปชัญญะแต่ละครั้งๆ แล้วก็ไม่เอามัน ไม่ประคับประคองมัน มันก็จะดับไปเอง เห็นความดับไปของมันเป็นธรรมดา ...จนเป็นเห็นความดับไปเป็นธรรมดา

ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเรื่องธรรมดา ...มันยังมีอะไรไม่ธรรมดา มันก็เอาจนกว่าจะเห็นเป็นธรรมดานั่นแหละว่าดับไป มันถึงจะละความข้อง ความติด ความยึด ความหมาย ความเที่ยง ความเป็นตัว

มันปอก ลอก ความเห็นผิดนั้นออกไป เหมือนปอกเปลือกก็จะเห็นเนื้อใน เนื้อในเนื้อ ...เมื่อปอกเนื้อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นเม็ด ปอกไปๆ ก็เห็นว่าไม่มีอะไร ในที่สุด

อย่ามาติดแค่เปลือกคือสมมุติหรือบัญญัติ หรือความคิดเห็นใดความเห็นหนึ่ง ...มันติดแค่เปลือก กินแต่เปลือก แล้วก็บอกว่าเอร็ดอร่อย แล้วก็บอกว่ามีประโยชน์มีคุณ

ไม่มีอะไร...มันเปลือก ไม่มีสารอาหาร ไม่มีธาตุประโยชน์อะไร ...ปอกไปเรื่อยๆ ไม่เชื่อมัน  มันก็เห็นความจริงข้างในของมัน แปรปรวนบ้าง มากขึ้นบ้าง น้อยลงบ้าง ควบคุมไม่ได้บ้าง

ไปๆ มาๆ ดับ เอ้า อย่างนี้แล้วก็ดับ ดับ ...แต่พวกเราไม่ค่อยเห็นจนตลอด เห็นความดับ  พอมันมีก็หาอันใหม่ ยังไม่ทันหมด ยังไม่ทันดับก็หาอันใหม่

มันเลยละเลยการเห็นความดับ ...มันจะมีใหม่ได้มันต้องดับของเก่าก่อน แต่มันไม่เห็น  เพราะใจมันพุ่งออกไปข้างหน้า ไม่หยุดอยู่ มองดูรู้เห็น ด้วยอาการสงบตั้งมั่น

เห็นมั้ย ศีลและสมาธิไม่มี ปัญญาไม่เห็น ...พอไม่เห็นก็ไม่ยอมรับ นี่ มันยังไม่รู้เลย ตามมันทุกอย่าง ทั้งเจตนาและไม่เจตนา

ความจริงมันไม่เจตนาหรอก มันไปของมันเอง ล่องลอย ด้วยความไม่รู้นี่ ซึม เบลอ ไหล ...เหมือนเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้แล้วก็ไปทำงาน หารู้ไม่ว่าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้...ลืม

สติสัมปชัญญะก็เหมือนกับก๊อกน้ำที่เปิดทิ้งไว้  กำลังล้างมืออยู่ มีคนมาเรียกไปทำงานปั๊บ เอ้า ไป ก๊อกน้ำเปิดทิ้งเอาไว้ ...อ้าว ตายแล้ว น้ำหมดแทงค์ ต้องเติมน้ำลงใหม่

พอเติมยังไม่ทันถึงไหนเลย  ก๊อกเปิดไว้ มีคนเรียก หรืออยากจะไปนั่นจะไปนี่...ไปแล้ว ก๊อกน้ำก็เปิดทิ้งไว้ ...มันก็มีแต่การรั่วการไหลของสติสัมปชัญญะ ของศีลสมาธิปัญญา

น้ำก็ไม่มีวันเต็ม ปัญญาก็ไม่เกิด ...เนี่ย มันเลยกลายเป็นไตรลักษณ์ไปอีกปัญญาน่ะ เกิดๆ ดับๆ (หัวเราะ) ไอ้เวลาให้มันเกิดดันไม่เกิด มีแต่ดับๆๆๆ

ไอ้เวลาไม่มีเรื่องนี่เกิดจัง รู้ไปหมด เข้าใจหมด...แต่เวลามีเรื่อง มันไม่เกิดเลย  …เวลาหลง เวลาเผลอ เวลาเพลิน เวลาโกรธ เวลาด่า หรือเวลามีกามราคะ ไม่เกิดปัญญาเลย

แต่เวลาอยู่เฉยๆ ไม่เกิดอารมณ์ แหม มันเกิดจัง เห็น เข้าใจ รู้ได้เกิดดับ อยู่ได้ๆ แต่พอเวลาเกิดปัญหา...หลงเกิดจริง ปัญญาหายไปไหนไม่รู้ ดับแบบหาไม่เห็นเถ้าถ่านเลย

ก็น้ำไม่มีเติม หยุดการใช้สอยไม่ได้ จะตักมาอาบมาดื่มมากินก็ไม่ทันใจ ...แล้วคราวนี้ก็ไฟไหม้บ้านจนเหลือแต่ตอแล้ว กูยังเติมน้ำไม่เต็มแทงค์เลย มันไปวิดน้ำอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

ถ้าสติสัมปชัญญะมันต่อเนื่อง มันเพียงพอแล้ว น้ำมันล้นจนเต็มล้นนี่ แค่ไม้ขีดก้านนึงกูก็ดับแล้ว พั้บ ...นี่จนบ้านจะเหลือแต่เถ้า จนเหลืออีกนิดเดียวน้ำเพิ่งมา

ตายสิ ตายไปกับมัน ทุกข์บีบคั้น สร้างกรรมวุ่นวี่วุ่นวาย แก้นั่นแก้นี่ ทำนู่นทำนี่ ด่าคนนั้นด่าคนนี้ ตำหนิทุกอย่าง กว่าจะหยุดได้ ...โอย ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาอีกบานเลยกู

ต้องมาชดใช้อีก กรรมวิบาก ไปด้วยความเผลอเพลินนี่ แต่ถ้ามีสติปัญญา รู้พั้บๆๆ หยุด แก้ได้เลย ชดใช้กันไป รับรู้ด้วยความยอมรับไป เท่าที่มีเท่าที่เป็นในปัจจุบัน เท่าที่มีต่อหน้า

รู้แบบโง่ๆ นั่น มันถึงจะเล็ดรอดได้จากวงเวียนของวัฏฏะสงสาร ที่มันเบียดกลืน บดกลืน ...โง่ เหมือนโง่น่ะ ต้องเคี่ยวน้ำซุป อย่างนั้นน่ะ นะ 

เอ้า มีอะไรมั้ย ข้องอะไรมั้ย ...หลักการปฏิบัติ มันก็เป็นเรื่องของเราล้วนๆ เป็นการเรียนรู้เรื่องของเราเอง ของกายของใจ ด้วยการหยุดอยู่ดูเห็น สังเกต ตรวจสอบมันๆ

สำเหนียกในใจอยู่เสมอ ต่อเนื่องเป็นนิจ สอบทานตรวจสอบ ...เวลาเดินไปไหนมาไหน เหมือนกับเดินถือกระจกเงาไปบานนึง มันจะได้ไม่ออกไป

ถ้ามันมีกระจกอยู่มันจะได้เห็นแต่ตัวเอง ดู กายอยู่ยังไง ใจอยู่ยังไง ...ถ้าไม่มีกระจกแล้วมันจะไปเรื่อย  ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง ไปกับจิต ไปหมด

พอมีตรงไหนที่มันรับรู้ได้ มันไปตรงนั้นแหละ มันเป็นช่อง ...สติสัมปชัญญะเหมือนกระจก ปั๊บ รู้ เอ้า ไม่ไปไหน แล้วก็ย้อนกลับมาที่ใจที่กาย ขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่

มันก็เรียนรู้อยู่อย่างนี้ ธรรมะทำอยู่แค่นี้ มันรู้ได้ทั้งหมด กายใจเป็นที่ตั้งของความรู้ทั้งหลายทั้งปวง ...มันรู้รอบ รู้เท่าทัน รู้ได้ทุกบททุกตอน ถ้ามันอยู่ที่รู้

แล้วก็รู้ด้วยความรู้ที่แท้จริง รู้เดียว รู้อันเดียวนี่ เป็นที่เกิดของการรู้ทั้งหมดทุกเรื่องราว มันเกิดแล้วก็รู้อยู่ รู้รอบ ...แล้วมันจะเห็นสาระในรู้นั้นมากขึ้น ว่านี่เป็นความรู้ที่สูงสุดจริงๆ

คนที่จะออก จะไม่กลับมาเป็นทุกข์ได้อีก...ก็ต้องมารู้อยู่ที่นี่ ที่เดียว 

ไม่ว่าความรู้ทางใจ ความรู้ทางตา ความรู้ทางหู รู้ทางกลิ่น ทางรส ไม่ไปเอาความรู้นั้นมาเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย เอามาเป็นที่หมายที่มั่นที่ตั้ง

เอาความรู้เดียว รู้อันเดียว เนี่ย จึงจะรู้จริง เรียกว่ารู้จริง ไม่ใช่รู้หลอก ...แต่รู้จริง รู้จริงเห็นจริงคือรู้อันเดียว 

ไอ้ที่รู้มากรู้มาย รู้พูดนั่นพูดนี่ รู้ไปเรื่อย พูดไปเรื่อย มันรู้ไม่จริง ...เพราะมันไปรู้กับสิ่งที่ไม่จริง ไปรู้ทางหูทางตาทางใจ ทางความคิดความเห็น ...นี่ รู้ไม่จริง มันเป็นแค่สังขารหนึ่งเท่านั้น 

พอมารู้จริง...ไม่มีอะไร ... มีรู้เดียว รู้และเห็น แค่นั้น


.....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น