วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 3/28 (4)


พระอาจารย์
3/28 (540413)
13 เมษายน 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 3/28  ช่วง 3


พระอาจารย์ –  แต่ถ้าทนไม่ไหว ทานไม่ไหว ด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน...ที่มันจะถีบส่งออกมาอยู่ตลอด มันดันเราออกไป ออกไปหาคนนั้น ออกไปหาเรื่องนี้

ออกไปคิดเรื่องนั้น ออกไปแสวงหาธรรมอย่างนี้...นั่น ทั้ง ธ-ร-ร-ม...ธรรม  ทั้ง ท-อำ..ทำ ...ไปทั้งสอง(ธรรม-ทำ)เลย  ไม่ได้ธรรมก็ขอให้กูได้ทำ...ทำอะไรสักอย่าง

ไม่ทำภายนอกกูก็ทำในจิต ให้มันเกิดอะไรขึ้นมาสักอย่าง...เพราะไม่มีอะไรแล้วกูเหงา เบื่อ เซ็ง อย่างเนี้ย เตือนสติกลับมาอยู่กับไม่มีอะไรน่ะมันดีอยู่แล้ว

มันชอบหาเรื่องน่ะจิต ...ใจจริงๆ เขาไม่หาเรื่องหรอก นะ ใจมีหน้าที่เดียว คือธรรมชาติอย่างเดียวคือรู้ ...ไอ้ตัวหาเรื่องน่ะใคร ไอ้นั่นน่ะตัวไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องแล้วยังเสือกหาเรื่องอีก

ก็ไม่รู้เรื่องแล้วไปหาเรื่อง...มันก็มีแต่เรื่อง คือมีแต่ทุกข์  มันไม่รู้เรื่องแล้วมันยังไปหาเรื่อง ...มันไม่มีทางดีหรอก...เหมือนคนเมา คุยออกมาก็ชวนถูกเตะปากทุกทีน่ะ

จิตที่ไม่รู้น่ะแหละมันพาหาเรื่อง ก่อเรื่อง สร้างเรื่อง ...แล้วก็ทิ้งขี้ไว้เต็มไปหมด หนัก เหม็น เน่า เศร้าหมอง ขุ่นมัว กังวล วิตก เครียด กลัว

เนี่ย มันสร้างเรื่องไว้ แล้วตัวมันก็ทิ้งหายไปนะ ...ตัวมันก็ดับไป แต่มันก็ทิ้งไอ้ความหมายมั่นไว้ จนข้ามภพข้ามชาติน่ะ ติดกันเข้าไป ผูกกันเข้าไป

โกรธกันข้ามชาติยังโกรธกันไปได้ เนี่ย ชาติเดียวมันก็โกรธกันไม่พอรึไง ชาติหน้ากรวดน้ำคว่ำขันอย่าเจอกัน อะไรประมาณนั้น ...มันผูกกันเข้าไป ยึดมั่นถือมั่นมันเข้าไป อะไรล่ะเป็นตัวทำออกมา

ใจจริงๆ นะ สงบเสงี่ยม เรียบร้อย ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ....รู้อย่างเดียวๆๆ อะไรผ่านมากูรู้อย่างเดียว กูมีหน้าที่ของกูคือกูรู้อย่างเดียว กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงจะเป็นอะไร กูรู้อย่างเดียว ไม่เลือกด้วย

นั่นน่ะใจ ...ไม่หายด้วย ไม่ปฏิเสธด้วย ไม่มีการขวนขวายด้วย ไม่กลัวด้วย...อะไรก็ได้ กูรู้อย่างเดียว ...นั่นน่ะธรรมชาติ เข้าสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของใจให้ได้ 

ได้เมื่อไหร่ก็จบ ...จบเมื่อไหร่น่ะ จึงจะเรียกว่าสมควรตาย นี่ เวลาตาย...ถึงว่าสมควรตายแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่สมควร ตายแล้วไม่สมควรตาย เพราะมันต้องกลับมาเกิดอีก ไม่รู้จะรีบตายไปทำไม ยังใช้เวลาในการอยู่ในโลก สร้างปัญญาไม่เต็มที่เลย ดันมาตายซะแล้ว ...นี่ ไม่สมควรตาย

เอาจนรู้ด้วยตัวเองว่าสมควรตายแล้ว หมดภาระแล้ว หมดแอกแล้ว...เออ ไม่กลับมาแล้ว ไม่มีคำว่า See you again  มีแต่ So long ไปแล้วไปลับ ไม่มาแล้ว ลาแล้ว

เหมือนหลวงตาบัวเขียนไว้น่ะ “เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก อนันตกาล” ...สมควรตาย ท่านสมควรตาย ตายอย่างมีศักดิ์ศรี ตายอย่างองอาจ ตายอย่างฝากจารึกไว้ในแผ่นดิน

ไอ้พวกเรานี่ตายทิ้งตายขว้าง ไปเกิดเป็นอะไรยังไม่รู้เลย ใช่มั้ย ...ตอบได้มั้ย มีใครรู้มั้ย จะมาเป็นคนได้อีกรึเปล่ายังไม่รู้เลยนะ จะได้มาเกิดเมืองไทย จะได้เจอพระอบรมสั่งสอนอย่างนี้อีกรึเปล่าก็ยังไม่รู้นะ

เห็นมั้ย ประมาทนะนั่น แต่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ทำได้ มีสติ ตั้งได้มั้ย สมาธิตั้งได้มั้ย ศีลทำได้ไหม ...ไอ้มีเวลาตอนสมควรทำ ไม่ยอมทำ ไม่ยอมใช้ให้เป็นประโยชน์สาระ

แต่ถามตัวเองเอาเข้า...ตายแล้วไปไหนรู้รึเปล่า จะได้เกิดรึเปล่า...ไม่รู้ ...แต่รู้ลึกๆ ว่าเกิดแน่ แต่ว่าเกิดดีเกิดไม่ดี ไม่รู้ เกิดมาเป็นใครก็ไม่รู้ จะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรสักอย่าง

พระพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์โลกนี่ สัตว์โลกนี่ อยู่ด้วยความประมาท มันอยู่เหมือนกับมันจะไม่ตายอย่างนั้นน่ะ หือ มันไม่เคยคิดเลยนะว่ามันจะตายสักวันหนึ่งน่ะ มันจะค้ำฟ้าค้ำจักรวาลรึไง

แต่เอาแล้ว พอใกล้ตายแล้วร้องหาครูบาอาจารย์ หาพระแล้ว มาช่วยหน่อย ...นั่น ช้าไปแล้วต๋อย ไม่ทันๆ

จะไปบอกพุทโธ จะไปบอกให้เจริญสติสิโยม รู้ที่ใจสิโยม มันก็ได้แต่ว่า "กูไม่รู้ไม่แร้มึงแล้ว กูเจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว" นั่น จะเอาใจไปวางไว้ตรงไหน สติไม่เกิดเลย

เห็นมั้ย มีชีวิตอยู่ก็เล่นหัวกันไป สนุกกันไป เที่ยวกันไป หานั่นหานี่ทำกันไปฆ่าเวลา ทำอะไรก็ฆ่าเวลาไป ไม่มีอะไรทำก็คุยโทรศัพท์ฆ่าเวลา ไปเที่ยวอย่างนั้น ไปช็อปปิ้งอย่างนี้ เพลินดีออก

อย่าใช้ชีวิตที่มีสาระ...ให้มันไม่มีสาระ ...ไม่ใช่การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นง่าย ไม่ใช่การเกิดมาเป็นมนุษย์ในเมืองไทยนี่มันง่าย ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเจอพระที่สอนธรรมอธิบายธรรม ...นี่ไม่ใช่ของง่าย

ยากยิ่งกว่าหนึ่งในร้อยๆ ล้านพันล้านอีกนะ ...ในโลกมนุษย์นี่มีกี่คนล่ะ หลายพันล้าน แล้วมีอยู่กระหย่อมหนึ่งอย่างนี้ อย่างในเมืองไทยมีเจ็ดสิบล้าน แล้วมีคนเริ่มมาปฏิบัติธรรมนี่...ไม่กี่ล้าน

แล้วมาปฏิบัติธรรมแบบบ้าบอคอแตกอีกกี่ล้าน เข้าใจมั้ย ...กว่าจะมาเจอนี่ ไม่ใช่ฟลุ้ค ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่โชค มันมีเหตุปัจจัยของตัวเองอยู่แล้ว

อย่าประมาท อย่าคิดประมาทตัวเอง อย่าคิดว่าเดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้วก็ทำได้เองน่ะ เดี๋ยวถึงเวลามันจะขยันไปเอง ...ถ้าไม่ขยันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วมันจะไปขยันได้ยังไงวะ หือ

จะไปขยันตอนตาย ไปปั่นงานตอนตายนี่ ไม่ทันหรอก มันสายไปแล้ว ...ถึงเวลานั้นแล้วจะมานั่งนึกนอนนึกอยู่ในไอซียู มีสายยางระโยงรยางค์ระเกะระกะ ว่ากูไม่น่าทิ้งเวลาที่ผ่านมาเลย

นี่ เสียอกเสียใจก็เอาคืนไม่ได้ อดีตที่ล่วงไปแล้วก็เอาคืนไม่ได้ ...เอาเหอะ ไปรอรับกรรม เสวยผลกรรมเอาข้างหน้าของวิบากไป...เกิดใหม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดที่ไหน รูปแบบของการเกิดเป็นยังไงไม่รู้

แต่ที่รู้ๆ น่ะ ถ้าเกิดเป็นคน...เหมือนไปนั่งงอตัวอยู่ในโอ่งน้ำคร่ำปิดฝา นึกภาพตัวเองนั่งอยู่ในน้ำคร่ำแล้วมีฝาปิดในโอ่ง หลับหูหลับตาอยู่อย่างนั้นน่ะ เก้าเดือนน่ะ นึกดูสิ มาเริ่มต้นใหม่น่ะ

ออกมาจากท้องแม่ปั๊บ ไม่รู้เรื่อง ฟังธรรมก็ไม่ได้ พระเทศน์ก็ไม่ฟัง เพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง ...จนเจ็ดขวบก็แล้ว สิบขวบก็แล้ว ยังไม่รู้เรื่อง ...ถึงรู้เรื่องก็ไม่ทำ เพราะมันต้องเรียนๆๆๆ อีกกี่ปี เป็นสิบปีน่ะ 

เรียนจบก็มาทำงานๆ ทำงานต่ออีก กว่าจะมาเริ่ม ก็เอ้า มีครอบครัวไปอีก ...ก็ติดกับอยู่ในโลก ติดอยู่กับโลก อย่างนี้ แล้วก็หมุนวนอยู่แบบนี้ ...น่าเบื่อ 

เพราะผลของความที่ว่า ปล่อยเวลาให้ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากความแปรปรวนของเวลา ให้กลับมามีศีลสมาธิปัญญาอยู่ภายใน

เพื่ออารักขาใจ เพื่อชำระใจ เพื่อไม่ถูกสังขารทั้งหลายทั้งปวงหรือพญามารนี่หลอกลวงล่อลวง ไม่ถูกอายตนะทั้งหกนี่ล่อลวง ไม่ถูกขันธ์ห้านี่ล่อลวง

แต่การภาวนานี่มันไม่มีรสชาติ น่าเบื่อหน่อย ต้องทวนหน่อย ...อย่าท้อ ครูบาอาจารย์ท่านมีรอบข้าง ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น ให้ท่านพูดให้กำลังใจ จะได้ขยันหมั่นเพียร

เข้าใจน่ะมันเข้าใจอยู่แล้วพอสมควร ขาดอย่างมากคือความหมั่นเพียร ...ขี้เกียจ ขี้เกียจเจริญสติ ขี้เกียจทำให้มันต่อเนื่อง ...มันไม่สนุก มันน่าเบื่อ เดี๋ยวคนเขาว่าหาว่าแปลกแยกแตกต่าง...อย่าไปกลัว

เวลาตายแล้วจะขอบคุณตัวเราเองเลยแหละ ว่าตัวเราทำไมช่างแสนดีขนาดนี้ ใช้เวลาเป็นสาระอย่างยิ่ง ถึงเวลาตายแล้วก็สบาย ...ตายแล้วเหรอ สบายเลย อย่างนี้

แต่ตอนนี้ตายแล้วก็ขุ่นมัว วิตก กังวล เศร้าหมอง ห่วงนั่นห่วงนี่ ...ไอ้นั่นยังไม่เสร็จ ไอ้นี่ยังไม่แล้ว คนนั้นไม่รู้เป็นยังไง คนนี้จะเป็นยังไง สิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ยังค้างคา

นี่ ไม่ได้ว่ากัน...แต่เตือน ...เหมือนค้อนตอกสิ่ว ตอก ต้องคอยตอก ไม่งั้นมันไม่กินเนื้อไม้ ...สติมันหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก แต่อารมณ์เพลินอารมณ์หลงนี่ง่ายเหมือนดาษดื่นในท้องตลาด 

ไปที่ไหนก็เจอสหายเดียวกันหมด เหมือนกันหมดทั้งโลก เพลิน เจอหน้ากันก็เมาท์กระจาย ถ้าเป็นวงสนทนานักปฏิบัติธรรมก็เมาท์กระจายในธรรม นั่น 

เพราะนั้นก็ตั้งใจ ตั้งสติ ระลึกขึ้นมา ให้รู้ตัวอยู่...บ่อยๆ ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าทำอะไรอยู่...เป็นสโลแกนประจำดวงจิต จะได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว รู้ตัว

เหมือนกับเป็นเบรก แตะเบรกไว้บ่อยๆ ...เมื่อแตะเบรกไว้แล้วก็ให้หยุดรถเลย อย่าพามันวิ่ง อย่าไปวิ่ง ด้วยการเจตนาเหยียบคันเร่ง เป็นนักซิ่ง มันจะลงเหวลงห้วย

มันคิดว่าแน่ มันคิดว่าไปได้...ลงเหวหมด ...เพราะไอ้ที่ไปที่มาน่ะ มันออกมาจากความไม่รู้ มันก็ไปหาเรื่องไม่รู้ทั้งนั้นแหละ ก่อเรื่องก่อราวทั้งนั้นน่ะ ตกเหวตกห้วย

อย่าไปคิดว่าจะขึ้นสวรรค์ได้อย่างเดียว เป็นสุขได้อย่างเดียวแล้วตามมันไปเพราะนั้น ระลึกขึ้นมาด้วยสติ...ถ้าระลึกขึ้นมาด้วยสติว่ามันแยกยาก ก็ถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่

แล้วก็กลับมารู้ว่ากายนั่งยังไง มือวางท่าไหน ตัวอยู่ยังไง หน้าอยู่ยังไง สีหน้าท่าทางเป็นยังไง หน้าบึ้งหน้าตึง หน้าขุ่นหน้ามัว หน้าเศร้าหน้าหมอง หน้ายิ้มหน้าแย้ม ...ดูมันเข้าไปในปัจจุบัน

จิตเป็นยังไง อยู่ในอาการไหน เศร้าซึม ผ่องใส ดีใจ เสียใจ กังวล หรือว่าคิด ฟุ้งซ่าน หรือว่ากระวนกระวาย หรือว่าวิตกวิจารณ์อะไร...รู้เข้าไป ดูเข้าไป เป็นระยะๆ

และจากนั้นก็ให้มีสัมปชัญญะในการหยุดอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปไม่มา...แล้วก็ดูมัน เห็นมัน เห็นมันไป แค่นี้แหละ ...ไม่เห็นยากเลย หือ ไม่ต้องจ่ายเงินด้วย ไม่ต้องไปซื้อไปหาด้วย ทำได้หมดทุกคน

อยู่ที่ความตั้งใจ ใส่ใจขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ต้องตั้งขึ้นมา ตั้งใจขึ้นมา ...ใกล้ตายกันแล้ว ทุกคนแหละ เราด้วย อีกไม่กี่ปี ไม่เกินห้าสิบหกสิบปีก็ตาย เห็นมั้ย แป๊บเดียวน่ะ

มัวแต่เล่นมัวแต่หัวกันอยู่ มัวแต่สนุกกับโลกๆ ไร้สาระ ...ก็สนุก ไม่ได้ห้าม แต่ว่าอย่าเพลินจนเกินไป ...ให้เวลากับตัวเองมากๆ อยู่กับตัวเองมากๆ

สติอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าให้ออกนอกหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ...กายนี้ กลับมาบ่อยๆ ...เหมือนกับชะลออารมณ์ ชะลออดีตอนาคตออกไป ชะลอความแก่ในจิต มันจะได้ไม่เกิดไม่ตายมากขึ้น

เมื่อไม่เกิดไม่ตายอยู่ในที่อันเดียว จึงจะเป็นอมตะธาตุอมตะธรรม ...นั่นแหละ ถ้าเข้าถึงจิตหนึ่งธรรมหนึ่งเมื่อไหร่ จะเข้าใจจิตปัจจุบันที่ดับไปพร้อมกับธรรมปัจจุบัน 

ถึงจะเป็นอมตะธาตุ นอกเหนือจากการเกิดการดับ นอกเหนือจากกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีที่หมาย ไม่มีที่มั่น ไม่มีบัญญัติ ไม่มีสมมุติ สูญสิ้นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

เอาแล้ว ไปเจริญสติต่อ ดูตัวเอง สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ให้มันรู้ ...เอารู้มากกว่าเอาความสงบ



.................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น